รีวิว Ford Everest Titanium+ 4×4 2025 รุ่นท็อป ฟีเจอร์ครบ เครื่องยนต์แรงบิด 500 นิวตันเมตร ขับสนุก คล่องตัวทั้งในเมืองแลออฟโรด!
Ford Everest Titanium+ 4×4 2025 รุ่นท็อป รีวิวขับจริง ลุยทุกเส้นทาง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเวลานี้ Next-Gen Ford Everest คือรถยนต์อเนกประสงค์ (PPV) ที่โดดเด่นที่สุดในตลาดเมืองไทย โดยเฉพาะรุ่นสูงสุด Titanium+ 4×4 ซึ่งเปิดราคามาอย่างน่าสนใจที่ 1,917,000 บาท ส่วนจุดเด่นอื่น ๆ ยังมีอีกมากที่ควรค่ากับการพิจารณา
หลังจากที่ Ford Everest ถูกจดจำในฐานะตัวเลือกสำรองในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์แบบ PPV ของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แต่ตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่ Ford ประเทศไทย จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับแนวหน้าอย่างเต็มตัว โดยการ เปิดตัว Next-Gen Ford Everest รุ่นล่าสุดอย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “Life is Yours to Master”
Next-Gen Ford Everest มาพร้อมดีไซน์ใหม่ที่สะท้อนความแข็งแกร่งและหรูหราอย่างลงตัว โดยมีเส้นสายเฉียบคมที่ลดทอนความโค้งมนแบบเดิม ซึ่งพร้อมเพิ่มรายละเอียดวัสดุตกแต่งโทนสีโครเมียม เพื่อเสริมภาพลักษณ์พรีเมียมของรถยนต์อเนกประสงค์แบบ PPV ได้อย่างชัดเจน
เสริมความพรีเมียมด้วยออปชันมาตรฐานที่ครบครัน โดยเฉพาะในรุ่นท็อปสุดของ Ford Everest ซึ่งมาพร้อมชุดไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่มีระบบปรับมุมลำแสงอัตโนมัติ, ระบบป้องกันไฟแยงตา และระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ผสานกับไฟวิ่งกลางวันแบบ LED ดีไซน์ C-Clamp ที่มีไฟตัดหมอกหน้า LED อยู่ด้านล่าง
ต่อด้วยไฟส่องสว่างข้างตัวรถและไฟท้าย LED Signature พร้อมประตูท้ายไฟฟ้าแบบ Hands-Free Power Liftgate และหลังคา Panoramic Moonroof ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/55 R20 ที่ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน
ภายในห้องโดยสารของ Ford Everest ใหม่ ถ่ายทอดความหรูหราผ่านงานออกแบบที่ประณีต พร้อมออปชันอำนวยความสะดวกสุดล้ำ ไฮไลต์คือหน้าจอแสดงผลดิจิทัลแบบสีสำหรับผู้ขับขี่ขนาด 12.4 นิ้ว ผสานกับหน้าจอกลางระบบสัมผัส Multi-Touch ขนาด 12 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay® และ Android Auto™
พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth, ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A และระบบ FordPass Connect นอกจากนี้ยังมีช่องต่อ USB ถึง 4 ตำแหน่ง และแท่นชาร์จไร้สาย Wireless Charger เพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน
Ford Everest รุ่นนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์เพื่อความสะดวกสบายแบบจัดเต็ม เช่น เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, เบาะแถวที่สามพับด้วยระบบไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone แยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาถึงช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง อีกทั้งยังมีระบบกุญแจอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry) พร้อมปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ (Push Start)
ด้านขุมพลังของมีให้เลือก 2 สไตล์ จากทั้งหมด 4 รุ่นย่อย เริ่มต้นที่รุ่น Trend และรุ่น Sport ซึ่งมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิด 405 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD)
ส่วนรุ่นท็อป Titanium+ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร แยกเป็นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD) จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดแบบ SelectShift
และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) ที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด E-Shifter พร้อมระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ที่รองรับโหมด 2H, 4H, และ 4L รวมถึงระบบ Drive Modes ที่ช่วยปรับรูปแบบการขับขี่ให้เหมาะสมกับทุกสภาพถนน
จากประสบการณ์ขับขี่แบบ Off-Road ที่ได้รับเชิญจาก Ford ประเทศไทย ต้องยอมรับว่า ระบบขับเคลื่อนของ Next-Gen Ford Everest ทำได้ดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันระหว่าง Drive Modes กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Electronic Shift-on-the-Fly ซึ่งช่วยให้สามารถเปลี่ยนจากโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) ไปเป็น 4 ล้อ (4H) ได้อย่างราบรื่น โดยไม่จำเป็นต้องหยุดรถ
ตัวอย่างเช่น หากผู้ขับกำลังใช้โหมดปกติ (2H) แล้วเจอสภาพถนนที่เปียกลื่นหรือไม่น่าไว้วางใจ เพียงหมุนสวิตช์ Drive Modes ไปที่ “โหมดถนนลื่น” ระบบก็จะปรับเปลี่ยนเป็นโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) โดยอัตโนมัติ
แต่หากสภาพเส้นทางย่ำแย่ลงจนต้องเลือกใช้ “โหมดโคลน” ระบบจะขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) พร้อมเปิดใช้งานดิฟล็อกหลังแบบไฟฟ้า เพื่อเพิ่มการยึดเกาะและสมรรถนะการขับขี่ในเส้นทางสมบุกสมบัน
พูดง่ายๆ ว่าฟังก์ชัน Drive Modes จะทำหน้าที่มอบ “แพ็กเกจอาวุธ” ในการขับเคลื่อนผ่านอุปสรรคโดยอัตโนมัติตาม “โหมด” การขับขี่ที่เลือกใช้ ยกเว้นในกรณีเส้นทางยากๆ เช่น ลุยบ่อโคลน หรือลุยน้ำลึกประมาณ 7-800 มม.
ซึ่งจุดนั้นต้องเล่นอาวุธหนักระดับขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ (4L) ที่มีขั้นตอนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คือ หยุดรถ ใส่เกียร์ว่าง และกดปุ่ม 4L ก่อนจะเลือกเปลี่ยนฟังก์ชัน Drive Modes …
จริงๆ แล้วมันไม่ได้ “ยากลำบาก” อะไรเลย ออกจะ “ง่าย” กว่าการใช้งานสมัยก่อนซะอีก อีกทั้งยังทำให้ “การลุย” เส้นทางออฟโรดกลายเป็นเรื่องง่ายและสนุกขึ้นได้ไม่ยากเลยทีเดียว
ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงบททดสอบเพื่อให้เราได้เรียนรู้และรู้จักกับขีดความสามารถในรูปแบบการขับขี่สไตล์ออฟโรดเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วคงไม่มีใครควักเงิน 1,917,000 บาท เพื่อซื้อตัวท็อป Ford Everest Titanium+ 4×4 ไว้ลุยป่าหนักๆ แน่นอน มากสุดก็คงหยุดอยู่ที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) กับโหมด Drive Mode “ถนนลื่น” ที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากขึ้น
เช่นเดียวกับในครั้งนี้ ที่เราเน้นวิถีชีวิตการใช้งานแบบ On-Road เป็นหลัก ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเป็นการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ และ Drive Mode ที่ตำแหน่ง “ปกติ” เป็นหลัก ซึ่งจะบอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกก็ “ถูก” แต่พอห่างมือไปนาน
ความรู้สึกเกร็งๆ ก็แอบกลับมาบ้างเหมือนกัน จากขนาดตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ข้อดีก็คือมีกลิ่นอายความเป็นมิตรค่อนข้างสูง จึงทำให้การปรับตำแหน่งเพื่อให้เกิดการควบคุมที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นเรื่องง่ายขึ้น
สัมผัสแรกที่รู้สึกคือ น้ำหนักพวงมาลัยดูเหมือนจะหนืดขึ้น แต่กลับให้สัมผัสการควบคุมที่ดีและคล่องมืออย่างน่าประหลาดใจ เหนือสิ่งอื่นใด คือ สร้างความคล่องตัวในการใช้งานในเมืองได้เกินคาด ส่วนต่อมา คือ ระยะฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มม.
พร้อมการอัปเกรดโช้คอัพจากพื้นฐาน Twin-Tube เป็นรุ่นใหม่ อารมณ์ที่ได้เทียบเท่าความแน่นและนุ่มหนึบ ชนิดที่ทำให้คุณอาจหลงผิดคิดว่านี่คือรถอเนกประสงค์ SUV แท้ๆ ก็เป็นได้
ท้ายสุด คือ ส่วนประกอบที่เกิดขึ้นจากแรงบิด 500 นิวตันเมตร ในรอบต่ำตั้งแต่ 1,750–2,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ E-Shifter 10 สปีด ซึ่งช่วยถ่ายทอดเรี่ยวแรงได้อย่างทันใจ
เปลี่ยนบุคลิกให้ PPV คันใหญ่ที่มีน้ำหนักตัวประมาณกว่า 2 ตัน “ปลิว” ไปตามสภาพการจราจรได้อย่างสนุกสนานและคล่องตัว ขณะที่สัมผัสจากช่วงล่างไม่ว่าจะนั่งหรือขับ ก็เต็มไปด้วยความเป็นมิตร ชนิดกล้าพูดได้ว่า “เหนือกว่า” คู่แข่งในท้องตลาดอย่างชัดเจน
อย่างหนึ่งที่หลายคนกังวลกับการขับรถขนาดใหญ่ในเมือง ก็คือ “การจอดรถ” อย่างไรก็ตามในจุดนี้ถือว่าหายห่วงได้เลย เนื่องจากระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ Active Park Assist ของ Ford Everest Titanium+ 4×4 เพียงกดปุ่มเดียว ก็สามารถช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ทั้งการจอดเทียบข้างหรือถอยเข้าซอง
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง (Reverse Brake Assist) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ถอยจอดได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลว่า ระบบสามารถตรวจจับวัตถุบริเวณท้ายรถและส่งเสียงเตือน ซึ่งหากผู้ขับขี่ไม่ตอบสนอง ระบบจะทำการเบรกและหยุดรถโดยอัตโนมัติ เพื่อเป็นการเตือนสติและป้องกันอุบัติเหตุ
เรียกได้ว่าการมาของเจเนอเรชันใหม่ของ Ford Everest รุ่นสูงสุดนั้น ได้ติดอาวุธมาให้อย่างครบเครื่อง เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในเมืองให้กลายเป็นเรื่องง่ายเกินคาด
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อต้องใช้งานนอกเมืองก็ไม่ต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด เพราะว่า ทั้งแรงบิดระดับ 500 นิวตันเมตร พร้อมพละกำลัง 210 แรงม้า และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดแบบ E-Shifter ต่างก็สามารถสนองทุกความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สิ่งที่เราชอบมากที่สุด คือการค่อยๆ เติมคันเร่ง เพื่อสัมผัสถึงเรี่ยวแรงของตัวรถอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความตั้งใจ ในการถ่ายทอดพละกำลังที่ไม่ใช่แบบพรวดพราด แต่กลับเป็นสไตล์ที่ทำให้ผู้ขับสามารถรับรู้แรงดึงได้อย่างชัดเจน ซึ่งแรงดึงนั้นก็มีออกมาให้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หากต้องการความปราดเปรียวที่มากขึ้น ผู้ขับสามารถเลือกใช้งานโหมด Manual ร่วมกับปุ่ม +/- บนหัวเกียร์ได้ทันที กระนั้นก็ตาม สำหรับการใช้งานทั่วไป เพียงแค่คิ๊กดาวน์ ก็ถือว่าให้พละกำลังที่ตอบสนองได้อย่างเกินพอแล้ว
ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่ทดลองขับ เราแทบไม่จำเป็นต้องใช้โหมด Manual เลย ยิ่งไปกว่านั้น การคิ๊กดาวน์ก็เป็นสิ่งที่เราใช้น้อยมาก เนื่องจากในท้ายที่สุดเราค้นพบว่า การขับ Ford Everest Titanium+ 4×4 ด้วยการค่อยๆ เติมคันเร่งอย่างนุ่มนวล ไล่ระดับความเร็วไปอย่างต่อเนื่อง คือแนวทางที่ให้ความรู้สึก ยอดเยี่ยมที่สุด สบายที่สุด และปลอดภัยที่สุด
ท้ายสุดนี้ ต้องบอกเลยว่า แม้จะไม่นับเรื่อง “แบรนด์” แต่ถ้าเน้นที่ “ขีดความสามารถ” แล้ว รถอเนกประสงค์ PPV อันดับต้นๆ ในใจเราคงไม่มีใครเกิน Ford Everest Titanium+ 4×4
อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปอีกนิดในใจเราก็ยังมีความกังวล เนื่องจาก เทคโนโลยีต่างๆ ที่ติดตั้งมาในรถรุ่นนี้ล้วนเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์แทบทั้งหมด จึงอดคิดไม่ได้ว่าจะมี “ราคาค่างวด” เท่าไหร่ หากต้องเข้าศูนย์บริการหลังจากหมดระยะรับประกันไปแล้ว…!!! ซึ่งในจุดนี้ เราขอยกให้ผู้บริโภคเป็นผู้พิจารณาด้วยตัวเอง
Specificationซ Ford Everest Titanium+ 4×4
- Price : 1,917,000 BHT
- Engine : 1,996 CC / Diesel Turbo Intercooler / 4 Cylinder / 16 Valve 210 hp @ 3,750 rpm / 500 Nm @ 1,750 – 2,000 rpm
- Transmission : 10A/T E-Shifter / Part – Time Four Wheel Drive
- Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
- Weight : N/A
TorqueThailand.com

































