รีวิว ทดสอบ Porsche Taycan 4S ยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของปอร์เช่ ที่มาพร้อมกับพลังสูงสุด 435 แรงม้า ราคาเริ่มต้นที่ 7.1 ล้านบาท
Porsche Taycan 4S
รีวิว ทดสอบ Porsche Taycan 4S ยนตรกรรมสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า 100%
รีวิว ทดสอบ Porsche Taycan 4S
Porsche Taycan 4S
Porsche Taycan 4S
รูปโฉมที่ดูเหมือนหลุดมาจากหนัง ไซ-ไฟ ของ Taycan บ่งบอกความล้ำหน้าในตัวมันเองได้เป็นอย่างดี นี่คือหนึ่งในยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้าที่เราต่างทราบดีว่าพวกมันจะค่อยๆ แพร่ขยายจำนวนออกไปจนกลืนกินรถเครื่องยนต์สันดาปภายในให้หมดไปจากโลกในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าคุณจะยินดีหรือไม่ก็ตาม
Porsche Taycan 4S
กรอบสีดำรอบๆ ไฟหน้าช่วยขับภาพลักษณ์แบบ ไซ-ไฟ ของ Taycan ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ช่องด้านข้างทำหน้าที่เรียงอากาศให้ไหลผ่านไปยังล้อหน้าเรื่อยไปถึงท้ายรถอย่างราบรื่นเพื่อลดแรงต้าน
มือเปิดประตูจะแนบสนิทไปกับตัวรถ และเมื่อปลดล็อคหรือสอดนิ้วเข้าไปด้านล่าง มันจะเลื่อนออกมาโดยอัตโนมัติ… และอีกครั้ง… เพื่อลดแรงเสียดทาน
พวกหลงหัวปักหัวปำกับการขับรถอย่างคุณและผม จะต้องรู้สึกขัดใจกับเสียง “วี๊ดดดดด…” จากมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่บ้าง แต่กับ Taycan คงได้รับการยกเว้น แม้คันนี้จะเป็น 4S เกรดเริ่มต้น ที่มาพร้อมกับพลังสูงสุด 435 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร กับแบตเตอรี่ขนาด 79 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ทว่ามันก็ให้อรรถรสในการขับขี่ที่ดุเดือดเลือดพล่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อใช้ Launch Control ในการออกตัว ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะปล่อยพลังแบบโอเวอร์บูสต์ในช่วงสั้นๆ ที่ 530 แรงม้า ส่งตัวถังหนัก 2,140 กก. พุ่งจากจุดหยุดนิ่งสู่ 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4 วินาทีถ้วนๆ และท้อปสปีดที่ 250 กม./ชม.
ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้า สามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาดกลางได้หนึ่งใบ ในขณะที่ด้านท้ายนั้นกว้างพอสำหรับกระเป๋า 3 ใบ และยังเหลือที่พอให้กับกระเป๋าเก็บสายชาร์จอีกด้วย
ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้า สามารถใส่กระเป๋าเดินทางขนาดกลางได้หนึ่งใบ ในขณะที่ด้านท้ายนั้นกว้างพอสำหรับกระเป๋า 3 ใบ และยังเหลือที่พอให้กับกระเป๋าเก็บสายชาร์จอีกด้วย
เต้าเสียบติดตั้งไว้ที่แก้มหน้าทั้งสองฝั่งของรถ เมื่อต้องการใช้งานก็เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วรูดไปที่ด้านใต้ของครีบ แล้วฝาครอบจะเลื่อนเปิดขึ้นไปซ่อนไว้ด้านใน, รูดอีกครั้งเพื่อปิดฝา… รู้สึกเหมือนกำลังปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
ตัวเลขน่าทึ่งเหล่านี้มาจากมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แบ่งกันขับเคลื่อนล้อหน้าและหลัง โดยใช้มอเตอร์ของล้อหลังที่มีพละกำลังมากกว่าเป็นแหล่งพลังงานหลักในการขับเคลื่อนแบบบู๊ล้างผลาญ นั่นหมายถึง Taycan 4S เป็นรถแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และยังหมายถึงประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม ด้วยถุงลมแบบ 3 ชั้น ทำงานร่วมกับแดมเปอร์ควบคุมด้วยระบบ PASM ซึ่งติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานใน Taycan 4S และช่วงล่างอลูมิเนียมทั้งสี่ล้อ
เต้าเสียบติดตั้งไว้ที่แก้มหน้าทั้งสองฝั่งของรถ เมื่อต้องการใช้งานก็เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วรูดไปที่ด้านใต้ของครีบ แล้วฝาครอบจะเลื่อนเปิดขึ้นไปซ่อนไว้ด้านใน, รูดอีกครั้งเพื่อปิดฝา… รู้สึกเหมือนกำลังปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
ในตระกูล Taycan ประกอบด้วย 3 เกรดด้วยกันคือ 4S แบบคันทดสอบ, Turbo ที่มาพร้อมกับพลัง 625 แรงม้า (680 แรงม้า Overboost), 850 นิวตันเมตร, 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที, วิ่งได้ไกล 450 กม. และ Turbo S ขนาด 625 แรงม้า (761 แรงม้า Overboost), 1,050 นิวตันเมตร, 2.8 วินาที, วิ่งได้ไกล 412 กม. แม้จะใช้คำว่า Turbo แต่พวกมันไม่มีเทอร์โบหรอกนะ
แม้รูปโฉมโดยรวมจะดูเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่ชุดไฟท้ายคือข้อยกเว้น! มองใกล้ๆ คุณจะเห็นลายกราฟฟิกสามมิติที่มีรายละเอียดซับซ้อน ทั้งเส้นสายยังสื่อให้เห็นถึงความเป็นรถพลังไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่า ผลลัพธ์ที่ได้ช่างน่าประทับใจ… เริ่มต้นจากการกดปุ่ม “เปิด” การทำงาน ที่ติดตั้งไว้อย่างแนบเนียนบริเวณฝั่งขวาของแดชบอร์ด ถัดจากคอพวงมาลัยไปเล็กน้อย ถ้าตั้งใจฟังคุณจะได้ยินเสียงฮัมเบาๆ ซึ่งเกิดจากเสียงสังเคราะห์ที่ใช้เพื่อให้ผู้ขับทราบว่ารถเริ่มทำงานแล้ว คันเกียร์ติดตั้งอยู่ที่ฝั่งซ้ายของแดชบอร์ด (ข้างคอพวงมาลัยเช่นกัน) เพื่อยกพื้นที่กลางคอนโซลให้กับหน้าจอระบบสัมผัส มันค่อนข้างแปลกๆ สักหน่อยเนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ไม่ปกตินัก แต่ใช้ไปสักพักก็จะชินไปเอง
สปอยเลอร์ซ่อนไว้อย่างแนบเนียนเป็นชิ้นเดียวกับท้ายรถ และจะปรับระดับตามความเร็วของรถโดยอัตโนมัติ คุณไม่สามารถสั่งยกขึ้นเหมือนกับรถทั่วไปได้ จะทำได้ก็เพียงแค่กดสวิตช์เพื่อให้มันยกตัวขึ้นเล็กน้อยสำหรับการเช็ดล้างทำความสะอาดเท่านั้น
ส่วนที่เซ็กซี่ที่สุดของ Taycan คือมุมมองจากด้านหลัง ไฟหรี่ที่คาดยาวตลอดแนวอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่า Porsche เจเนอเรชั่นใหม่ ให้ความรู้สึกราวกับรถที่อยู่ในหนังแนว Cyberpunk ยุค 90
ปลายท่อไอเสียถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด… ผมล้อเล่นน่ะ… ใต้ท้องรถถูกปิดเรียบเต็มพื้นที่ตั้งแต่หัวจรดท้าย ส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้ Taycan มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.22 cd และยังได้ประโยชน์ในเรื่องของแอโรไดนามิกส์อีกด้วย
Taycan ทำได้น่าประทับใจตั้งแต่ที่ความเร็วต่ำ ต้องยกนิ้วให้กับช่วงล่างที่นุ่มนวล และความพิถีพิถันในการลดเสียงรบกวนจากภายนอก เมื่อรวมกับข้อดีของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีเสียงขณะทำงานน้อย จึงส่งให้การนั่งอยู่ในห้องโดยสารที่หอมกรุ่นด้วยกลิ่นหนังแท้นี้ เป็นอะไรที่เหนือระดับอย่างแท้จริง กวาดสายตาจากเบาะนั่งไปตลอดแนวแดชบอร์ด
คุณจะพบกับความแพรวพราวของจอแสดงผลที่รายล้อมอยู่รอบตัว นอกจากบนพวงมาลัยแล้ว แทบไม่มีปุ่มกดใดๆ ให้เห็น เพราะเกือบทั้งหมดสามารถสั่งงานได้ผ่านระบบสัมผัสของจอ ราวกับกำลังนั่งบัญชาการอยู่ในยานอวกาศสำหรับเดินทางข้ามดวงดาวเลยทีเดียว
พื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารเบาะหลังค่อนข้างจำกัดตามรูปทรงของรถ หลังคากระจกผืนใหญ่เกือบเต็มพื้นที่หลังคาจะช่วยให้บรรยากาศในห้องโดยสารโปร่งโล่งขึ้น จะเห็นว่าเสา B และกรอบรอบๆ หน้าต่างมีความหนาค่อนข้างมาก นั่นก็เพื่อช่วยทดแทนความแข็งแกร่งที่ขาดหายไปจากคานกลางของหลังคานั่นเอง และไม่ต้องกังวลว่าจะร้อน เพราะกระจกได้รับการเคลือบสารป้องกันยูวีและความร้อนมาให้เรียบร้อย
พื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารเบาะหลังค่อนข้างจำกัดตามรูปทรงของรถ หลังคากระจกผืนใหญ่เกือบเต็มพื้นที่หลังคาจะช่วยให้บรรยากาศในห้องโดยสารโปร่งโล่งขึ้น จะเห็นว่าเสา B และกรอบรอบๆ หน้าต่างมีความหนาค่อนข้างมาก นั่นก็เพื่อช่วยทดแทนความแข็งแกร่งที่ขาดหายไปจากคานกลางของหลังคานั่นเอง และไม่ต้องกังวลว่าจะร้อน เพราะกระจกได้รับการเคลือบสารป้องกันยูวีและความร้อนมาให้เรียบร้อย
คันทดสอบของเรามาพร้อมกับออปชั่นล้อขนาด 20 นิ้ว (19 นิ้ว มาตรฐาน) พร้อมกับยาง 245/45 ที่ด้านหน้า และ 285/40 สำหรับล้อหลัง แม้จะมีลวดลายที่ซับซ้อน แต่เกือบทั้งหมดของลายล้อนั้นทึบตันเพื่อช่วยลดแรงเสียดทานของอากาศอีกทางหนึ่ง ดิสก์เบรกเคลือบด้วยทังสเตนคาร์ไบด์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและให้สามารถทนความร้อนได้สูงขึ้น
แต่อย่าเพลิดเพลินจนลืมว่ามี 530 แรงม้า และ Instant Torque อยู่ใต้เท้าขวาของคุณ… ปรับไปที่โหมด Sport + เหยียบเบรกและคันเร่งให้สุดจนกระทั่งหน้าจอแสดงข้อความการทำงานของระบบ Launch Control ปล่อยเท้าซ้ายของคุณออกจากเบรก แล้วแรงฉุดจากแรงม้า Overboost และแรงบิดทั้ง 640 นิวตันเมตรที่กองรอคุณอยู่ตั้งแต่ล้อเริ่มขยับ จะกดให้คุณจมแน่นอยู่กับเบาะ
มันกระโจนออกไปอย่างฉับพลันจนไม่สามารถมองเห็นตัวเลข 20 กม./ชม. แรกบนหน้าจอได้ทันเสียด้วยซ้ำ เสียง “วี๊ดดดดด…” ของซาวด์แทร็คสังเคราะห์ (สามารถเลือกเป็น “Electric Sport Sound” ที่จะให้ระดับเสียงดังขึ้น ได้จากเมนูปรับแต่งบนหน้าจอ) ดังถี่แหลมขึ้นตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ถนนเบื้องหน้าพุ่งเข้าใส่เหมือนกำลังวาร์ปข้ามเวลา
แดชบอร์ดที่เรียบง่ายได้รับแรงบันดาลใจมาจาก 911 รุ่นปี 1963 และความมินิมัลของมันช่วยให้จอแสดงผลต่างๆ ดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น แต่นั่นยังไม่เท่ากับสิ่งนี้… มองไปที่มุมล่างของกระจกหน้าแล้วคุณจะได้เห็นโป่งล้อที่นูนสูงขึ้นมา นี่แหละ มุมมองสุดพิเศษที่สะท้อนความเป็น Porsche ได้อย่างแท้จริง
จอแสดงผลแบบโค้งไร้กรอบขนาด 16.8 นิ้ว ดูสูงค่าและน่าหลงใหล สามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ ได้ครบถ้วน และปรับแต่งได้หลากหลาย นอกจากนั้น มันยังสามารถแสดงแผนที่ได้แบบเต็มหน้าจออีกด้วย!
หนึ่งในอุปกรณ์ที่กลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Porsche ไปเสียแล้ว
น้ำหนักของพวงมาลัยนั้นยอดเยี่ยม ให้สัมผัสที่เฉียบคมทั้งยังสื่อสารได้แจ่มแจ้งชัดเจน และจับกระชับเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้น Taycan ที่หนักกว่า 2 ตัน ยังเซอร์ไพร์สคุณด้วยระดับการยึดเกาะอันน่าทึ่ง แม้จะหนักและมีขนาดใหญ่กว่า 992 (แต่เล็กกว่า Panamera) ทว่า Taycan กลับคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงไม่แพ้กัน การจัดวางแบตเตอรี่ไว้ที่พื้นรถใต้ห้องโดยสาร – ไปจนถึงใต้เบาะหลัง – คือกุญแจที่ไขสู่การลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำเป็นพิเศษ
นั่นหมายถึง น้ำหนักสำคัญๆ แทบจะอยู่ในระนาบเดียวกับช่วงล่าง ส่งให้รถเอียงตัวเพียงเล็กน้อยขณะเข้าโค้ง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ, การกระจายแรงบิด, ระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง ตลอดจนแดมเปอร์ PASM จะสื่อสารข้อมูลระหว่างกันโดยใช้ระบบ 4D Chassis Control เป็นศูนย์กลางในการสั่งงาน เพื่อให้สอดประสานและได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำตลอดเวลา คุณอาจไม่รู้ว่าพวกมันทำอะไรอยู่ตอนที่คุณกำลังตะบันเจ้า Taycan อยู่ในโค้ง แต่คุณจะสัมผัสถึงความหนึบแน่นของรถได้อย่างแน่นอน
ปุ่มที่มีสัญลักษณ์ถ่านไฟฉาย ใช้สำหรับเปิดระบบ Regenerative เพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่เมื่อถอนคันเร่ง ซึ่งคุณต้องกดเปิดระบบเองทุกครั้งที่เริ่มสตาร์ทรถถ้าต้องการใช้ เพราะ Taycan ไม่เปิดระบบนี้ให้อัตโนมัติเหมือนรถทั่วไป Porsche กล่าวว่า การปล่อยให้รถไหลไปตามโมเมนตั้มนั้น ช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าการชะลอความเร็วเพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่
Taycan มาพร้อมกับ 5 โหมดการขับขี่ ที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้ด้วยการหมุนสวิตช์ที่ก้านพวงมาลัย โหมด Range ใช้สำหรับการขับขี่เพื่อประหยัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ โดยมันจะลดการตอบสนองคันเร่ง, ลดการทำงานของระบบปรับอากาศ และสามารถตั้งจำกัดความเร็วสูงสุดที่รถจะใช้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเพลินไปกับ 435 แรงม้า จนต้องจบลงด้วยการนั่งรอรถยกอยู่ข้างทาง
แม้จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ 4S ยังคงให้ความรู้สึกไม่แตกต่างจากรถที่ใช้เครื่องยนต์นัก Porsche ไม่สนใจเรื่องการลดความเร็วแบบ One Paddle เหมือนรถไฟฟ้าทั่วไป พวกเขาปรับให้ Taycan ลดความเร็วลงอย่างเป็นธรรมชาติคล้าย Engine Brake ของเครื่องยนต์เมื่อถอนคันเร่ง ระบบ Regenerative (จ่ายพลังงานกลับสู่แบตเตอรี่ ด้วยการทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าเกิดการเบรก) จะทำงานเมื่อเริ่มเหยียบเบรก
นอกจากใช้แสดงผลแล้ว ขอบด้านข้างทั้งสองฝั่งของหน้าจอยังเป็นระบบสัมผัสที่คุณสามารถกดได้อีกด้วย
Taycan มาพร้อมกับ 5 โหมดการขับขี่ ที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้ด้วยการหมุนสวิตช์ที่ก้านพวงมาลัย โหมด Range ใช้สำหรับการขับขี่เพื่อประหยัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ โดยมันจะลดการตอบสนองคันเร่ง, ลดการทำงานของระบบปรับอากาศ และสามารถตั้งจำกัดความเร็วสูงสุดที่รถจะใช้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเพลินไปกับ 435 แรงม้า จนต้องจบลงด้วยการนั่งรอรถยกอยู่ข้างทาง
สวิตช์ เปิด-ปิด การทำงานของรถ ขนาดใหญ่และมีดีไซน์สไตล์เครื่องใช้ดิจิตอล
นั่นหมายถึง คาลิเปอร์ของระบบเบรก (จริงๆ) จะยังไม่ทำงานแม้ตอนที่คุณเหยียบเบรกลงไป แต่จะเป็นแรงเบรกซึ่งเกิดจากมอเตอร์ จนกว่าความเร็วจะลดลงจนถึงระดับซึ่งเกินกว่าขอบเขตของมอเตอร์จะทำได้ หรือเมื่อต้องการแรงเบรกแบบหนักหน่วงทันทีทันใด ระบบเบรกจึงเข้ามาร่วมทำงาน แม้จะพิลึกพิลั่นสักหน่อย
แต่พวกมันก็ทำงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ และให้พลังเบรกมหาศาลทุกเมื่อที่ต้องการ ทั้งยังช่วยลดฝุ่นผ้าเบรกและยืดอายุการใช้งานได้มากกว่าเดิม โดยในการขับใช้งานปกติแต่ละวัน จะลดการใช้เบรกลงถึง 90% ทีเดียว!
คันเกียร์ติดตั้งไว้บนแดชบอร์ด อาจต้องใช้เวลาสักพักในการเปลี่ยนความคุ้นชินที่เคยมีในรถทั่วไป Taycan แตกต่างจากรถไฟฟ้าปกติตรงที่มันมีเกียร์มาให้ 2 อัตราทด ที่มอเตอร์ของล้อหลัง (อัตราทดเดียวสำหรับมอเตอร์ล้อหน้า) คุณไม่สามารถควบคุมการทำงานของมันได้ โดยระบบจะเปลี่ยนให้เองอัตโนมัติตามความเร็วและลักษณะการขับขี่
จอแสดงผลหลักส่วนกลางบนแดชบอร์ดมีขนาด 10.9 นิ้ว คุณสามารถสั่งติดตั้งจอเพิ่ม (บริเวณส่วนที่เป็นสีดำ) สำหรับผู้นั่งได้อีกด้วย
สามารถปรับทิศทางลมได้จากหน้าจอเท่านั้น… มันก็ไฮเทคดี แต่ยุ่งยาก, ไร้ประโยชน์ และทำให้คุณต้องละสายตาจากถนนเป็นเวลานานแสนนาน
Porsche เคลมว่า 4S รุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมกับแบตเตอรี่ 79 กิโลวัตต์ชั่วโมง เหมือนคันทดสอบของเรา สามารถใช้งานได้ราว 400 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ซึ่ง Taycan รองรับการชาร์จด้วยชาร์จเจอร์ AC 11 กิโลวัตต์ และ DC ที่ 150 กิโลวัตต์ นอกจากนั้น มันยังสามารถชาร์จด้วยควิกชาร์จเจอร์ระดับมหากาฬที่ 270 กิโลวัตต์ ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 22 นาที อีกด้วย เพียงแต่ปัจจุบันในประเทศไทยยังมีเพียง 3 เครื่อง (ซึ่งอยู่ที่ AAS Service ผู้จำหน่าย Porsche อย่างเป็นทางการ) เท่านั้น
เพราะย้ายคันเกียร์ไปไว้ที่ข้างพวงมาลัย บริเวณนี้จึงกลายเป็นช่องวางแก้ว และจอแสดงผลรองสำหรับระบบปรับอากาศและข้อมูลอื่นๆ พื้นที่ว่างบนจอคือทัชแพดสำหรับใช้ควบคุมสั่งงานจอหลัก หรือเขียนตัวอักษรเพื่อค้นหาสถานที่ของระบบนำทาง
พื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารเบาะหลังค่อนข้างจำกัดตามรูปทรงของรถ หลังคากระจกผืนใหญ่เกือบเต็มพื้นที่หลังคาจะช่วยให้บรรยากาศในห้องโดยสารโปร่งโล่งขึ้น จะเห็นว่าเสา B และกรอบรอบๆ หน้าต่างมีความหนาค่อนข้างมาก นั่นก็เพื่อช่วยทดแทนความแข็งแกร่งที่ขาดหายไปจากคานกลางของหลังคานั่นเอง และไม่ต้องกังวลว่าจะร้อน เพราะกระจกได้รับการเคลือบสารป้องกันยูวีและความร้อนมาให้เรียบร้อย
แล้วราคา 7.1 ล้านบาท ของ Taycan 4S ถือว่าคุ้มค่าหรือไม่? ถ้าตัดเรื่องเวลาในการชาร์จและระยะทางที่ขับได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคหลักของรถยนต์ไฟฟ้าออกไป แน่นอนว่านี่คือราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสมรรถนะของมัน และความได้เปรียบในการบำรุงรักษาที่มีค่าใช้จ่ายต่ำมากๆ
แม้ AAS ยังไม่สรุปตารางการเข้าเช็คระยะและค่าใช้จ่ายอย่างเป็นทางการมาให้เรา แต่ข้อมูลอ้างอิงจาก Porsche Centre of Toronto พบว่ามีเพียง 2 รายการ คือไส้กรองของระบบปรับอากาศและน้ำมันเบรก ที่ระบุให้เปลี่ยนทุก 2 ปี นอกจากนั้นจะเป็นแค่การตรวจเช็คอุปกรณ์และระบบต่างๆ ราว 25 รายการเท่านั้น
Porsche Taycan 4S
พูดอีกอย่างก็คือ Taycan เป็น Porsche ที่คุณจ่ายเงินเพื่อเป็นเจ้าของ และแทบไม่ต้องจ่ายอะไรอีกเลยนับจากนั้น
SPECIFICATIONS: PORSCHE TAYCAN 4S
- Price: 7,100,000 Baht
- Drive System: Two permanent magnet synchronous motors, 435hp (530 hp overboost), 640Nm
- Transmission: Single speed front and two speed rear, all-wheel drive
- Performance: 4.0sec 0-100km/h, 250km/h (limit)
- Weight: 2,140kg