Breaking News

NEW MG ZS SMART SUV

[banner title=”8″ id=”9582″ caption_position=”bottom” theme=”default_style” height=”auto” width=”auto” show_caption=”1″ show_cta_button=”1″ use_image_tag=”1″]

ZS ก้าวที่ 2 ในตลาดรถอเนกประสงค์เมืองไทยจากค่าย MG กับการตอบโจทย์ที่ตรงจุดในเรื่องของออฟชัน และราคา … แต่ขออีกนิดในเรื่องสมรรถนะ เพราะมันจะเลิศกว่านี้ถ้าไม่ใช่เกียร์ 4 สปีด”nd5_2088nd5_2069nd5_2055nd5_2056 nd5_2060 nd5_2063MG ZS คือ ยนตรกรรมอเนกประสงค์น้องใหม่รายล่าสุด ที่ค่าย MG นำเข้ามาบุกตลาดเมืองไทย โดยชูจุดเด่นความล้ำหน้า โดยการตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยี Smart Car ซึ่งจะฉลาดล้ำแค่ไหนเราไปดูรายละเอียดกันดีกว่า

สำหรับความฉลาดล้ำของ MG ZS อันเป็นจุดเด่นสำคัญ ก็คือ การเป็นยนตรกรรม “Smart Car หรือ “รถยนต์อัจฉริยะ” รุ่นแรกของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสร้างมาตรฐานใหม่ในแบบที่ไม่เคยมีบริษัทรถยนต์รายใดทำมาก่อน ด้วยการติดตั้ง “เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะใหม่ล่าสุด i-SMART”

เป็นครั้งแรกที่ผู้ขับขี่สามารถควบคุมฟังก์ชันต่าง ๆ ภายในรถยนต์ ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ โดยสั่งการได้ 3 วิธีคือ สั่งการผ่านระบบ Voice Command ภาษาไทย, สั่งการผ่านหน้าจอ Touch Screen ในรถ และสั่งการผ่าน i-SMART Application จาก Smart Phone เช่น การสั่งเปิดระบบปรับอากาศผ่าน Application, การค้นหาจุดหมายต่าง ๆ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม หรือร้านอาหาร ด้วย Smart Navigator รวมไปถึงการตรวจสอบสภาพการจราจรได้แบบ Real Time อีกด้วย

นอกจากนี้ MG ZS ยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับขี่ และพัฒนาความสามารถให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง จากการติดตั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อให้สอดคล้องกับยุค IoT (Internet of Things) ทั้งยังรวมถึงระบบการรวบรวมข้อมูลสำคัญ และแจ้งต่อผู้ขับได้ตลอดเวลา เช่น ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง, สภาพการทำงานของแบตเตอรี่, เครื่องยนต์ และระบบเบรกผ่านสมาร์ทโฟน ตลอดจนช่วยแจ้งเตือนการเคลื่อนที่ของรถอันผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการโจรกรรม ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเหนือระดับขึ้นไปอีกขั้น … เรียกได้ว่าแค่ออฟชันมาตรฐานที่ติดตั้งมาให้ก็น่าสนใจไม่น้อยแล้วล่ะครับ กับความฉลาดล้ำระดับนี้ แต่แค่นี้ยังไม่มากพอจะได้ใจเราไปทั้งหมดแน่นอน เพราะจุดประสงค์สำคัญก็คือ เรื่องของ “สมรรถนะ”nd5_7871ซึ่ง MG ZS นี้มากับเครื่องยนต์เบนซินบล็อคล่าสุด VTi-TECH แบบ DOHC 4 สูบ วาล์ว พิกัด 1.5 ลิตร โดยให้พละกำลังสูงสุดติดตมา 114 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode

ส่วนระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) ซึ่งมีความเจ๋งอยู่ที่สามารถปรับน้ำหนักหน่วงของพวงมาลัยได้ 3 ระดับ คือ Comfort, Normal และ Sport โดยทางด้านระบบช่วงล่างนั้นเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทในด้านหน้า และแบบคานทอร์ชั่นบีมในด้านหลัง พร้อมด้วยการติดตั้งชุดเบรกแบบดิสก์มาให้ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ซึ่งแม้รายละเอียดทางด้านวิศวกรรมนั้นอาจะดูธรรมดาไม่หวือหวาเท่าไหร่ แต่ใครจะรู้ว่ามันอาจจะซุกซ่อนอะไรไว้ภายในก็ได้ เพราะฉะนั้น “ต้องลอง” ถึงจะรู้

เรานำตัวเองเข้าประจำการในตำแหน่งผู้ขับขี่ก็รู้สึกได้ทันทีถึงความสปอร์ต จากการดีไซน์ตัวเบาะนั่งที่กระชับสรีระ พร้อมด้วยพวงมาลัยขนาดกระจับมือทรง D-Shaped เล็กๆ ที่มากับปุ่มมัลติฟังก์ชัน แถมด้วยรายละเอียดต่างๆ ที่น่าสนใจอย่างเช่น การตกแต่งคอนโซลด้วยวัสดุลายเคฟล่าห์ ตลอดจนช่องแอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปร่างของ Jet Turbine ทั้งยังได้อารมณ์ของยนตรกรรมสไตล์ยุโรปจากสัมผัสที่เกิดขึ้นจากวัสดุ Soft Touch และการเลือกใช้สีแบบทูโทน รวมไปถึงการให้หลังคา Panoramic Sunroof ที่สามารถเปิด – ปิดด้วยไฟฟ้าได้ถึง 8 ระดับ มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในขณะที่ด้านหลังก็มาพร้อมกับความอเนกประสงค์ จากเบาะที่นั่งด้านหลัง สามารถปรับ-พับแยกส่วนได้แบบ 60:40 พร้อมด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายที่ปรับขึ้น-ลงได้อีก 10 ซม. เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายnd5_2036nd5_2051 nd5_2039 nd5_2049ผมสตาร์ทรถเพื่อปลุกฝูงม้าทั้ง 114 ตัวให้ตื่นขึ้นรอรับคำสั่ง หลังจากปรับตำแหน่งเบาะนั่ง และพวงมาลัยให้เข้าที่ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผมก็ขยับตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติเข้าสู่โหมด D ทันที จากนั้นจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากันทั้ง “ตัวผม และรถ” ซึ่งด้วยจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน ผมจึงรู้สึกคุ้นเคย และควบคุมได้อย่างคล่องมือ ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเป็นผลมาจากความเป็นรถอเนกประสงค์ SUV ที่มีความสูงตัวรถเป็นทุน ทำให้มีทัศนวิสัยเบื้องหน้าที่มองเห็นได้ไกล สร้างความมั่นใจได้ดีเลยทีเดียวขณะขับขี่

ส่วนสมรรถนะนั้นเรียกได้ว่าสมน้ำ สมเนื้อ ไม่ได้หวือหวา แต่ก็ได้อรรถรสในการขับขี่ โดยเฉพาะใครที่ชอบรสชาติในสไตล์ยุโรป เพราะเค้าเซ็ทอัพระบบช่วงล่างมาแบบ European Tuning Suspension ฉะนั้นในความเร็วต่ำมันจึงมีความนุ่มหนึบแน่นๆ ในขณะที่บนความเร็วสูงจะเต็มไปด้วยเสถียรภาพการทรงตัว ที่สร้างความมั่นใจได้ในแบบฉบับยนตรกรรมจากฝั่งยุโรป รวมไปถึงระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPS) ที่มีลูกเล่นตรงสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 3 โหมด คือ Comfort, Normal และ Sport ที่เราโปรดปรานที่สุด โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็ว เนื่องจากความเฉียบคมของพวงมาลัยในการตอบสนอง ที่ทำได้ดี ซึ่งช่วยให้เรา “มุด” ไปมาระหว่างเพื่อนร่วมท้องถนนได้อย่างคล่องตัว โดยเฉพาะในย่านความเร็วต้น ถึงความเร็วเดินทางปกติ 100 – 120 กม./ชม.

แต่ถ้ามากกว่านั้นอาจต้องทำการบ้านมากขึ้นซักนิด เพราะเจ้านี่มากับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมลูกเล่นเป็นโหมด Manual สำหรับปรับเปลี่ยนเกียร์เองสไตล์เกียร์ธรรมดา ซึ่งปัญหาก็คือในจังหวะที่ลอยตัวด้วยความเร็วสูง การเร่งแซงไม่ว่าจะเป็นการ Kick Down หรือ การปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เอง ก็ตาม อาจจะต้องเผื่อระยะซักนิด เพราะเจ้านี่มันไม่ได้มีกำลังมากพอจะส่งตัวเองทะยานขึ้นไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว ฉะนั้นเทคนิคง่ายๆ ในการขับ MG GS เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ก็น่าจะเป็นสไตล์การขับแบบเดียวกับรถเกียร์ CVT ทั้งหลาย ที่เน้นความสบายในการขับขี่ประเภทเติมคันเร่งไหลๆ ไปเรื่อยๆ มากกว่าจะเป็นแบบกระโชกโฮกฮากน่าจะดีกว่า

และตลอดเวลาที่เราได้นำเจ้า MG ZS ไปลองขับไม่ว่าจะในโหมดการขับขี่แบบไหนก็ตาม สิ่งหนึ่งที่รู้ทันทีเลยว่า MG สอบผ่าน ก็คือ เรื่องของงานดีไซน์ ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกนั้นยังคงมากับแนวคิด Brit Dynamic ที่นำเสนอความทันสมัย ผสมผสานด้วยความสปอร์ต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ภายใต้เอกลักษณ์สไตล์อังกฤษในแบบของ MG ที่ดูแข็งแกร่ง และสะดุด เช่น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ขนาดใหญ่ ที่รับกับเส้นสายบนฝา กระโปรงหน้า ในขณะที่ด้านหลังสะดุดตาด้วยไฟท้ายแบบ LED Tube ส่วนการออกแบบด้านข้าง นั้นก็แสดงให้เห็นถึงความปราดเปรียวด้วยเส้นสายที่ชัดเจนจากด้านหน้าไปถึงซุ้มล้อหลัง ปิดท้ายด้วยความโดดเด่นจากล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่แบบ Bi-Colour ขนาด 17 นิ้ว ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่สร้างจุดสนใจให้ผู้คนต่างก็จับจ้องอย่างไม่ละสายตา และยิ่งโดยเฉพาะในจังหวะที่เราโชว์ความสามารถอันคล่องตัวในการ เคลื่อนผ่านเพื่อนร่วมท้องถนน

นอกจากความสะดุดตาทั้งรูปลักษณ์ และสมรรถนะแล้ว MG ZS ยังดำเนินตามรอยรุ่นพี่ในค่ายอย่างรุ่น GS ด้วยมาตรฐานออฟชันระบบความปลอดภัยที่จัดให้เต็มพิกัดอีกด้วย โดยเริ่มตั้งแต่ ระบบโครงสร้างนิรภัย FSF (Full Space Frame) พร้อมด้วยระบบ Synchronized Protection System 9 ระบบ ประกอบด้วย

  1. ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) 
  2. ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force    Distribution)
  3. ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิก EBA (Electronic Brake Assist)
  4. ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
  5. ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBS (Curve Brake Control)
  6. ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
  7. ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
  8. ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
  9. ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal) รวมถึงถุงลมนิรภัยในตำแหน่งคู่หน้า, ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวมทั้งหมด 6 จุด ตลอดจนกล้องมองหลังพร้อมเซ็นเซอร์

nd5_2074ซึ่งเมื่อดูจากออฟชันต่างๆ รวมถึง สมรรถนะโดยรวมจากการทดลองขับแล้ว เราบอกได้เลยว่า MG ZS น่าจะเรียกว่าเป็นยนตรกรรมที่คุ้มค่าที่สุดในรถยนต์กลุ่ม B-SUV เลยทีเดียว เมื่อเทียบกับราคาที่มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ 679,000 บาท ในรุ่น C, ตามด้วย 729,000 บาท ในรุ่น D และพระเอกที่อยู่กับเรารุ่นท็อปสุดราคา 789,000 บาท ในรุ่น X

Specification   MG ZS

  • Price                   :   789,000 BHT
  • Engine               :    1,498 CC / 4 Cylinder 16 Valve / 114 hp @ 6,000 rpm / 150 Nm @ 4,500 rpm 
  • Transmission  :    4A/T / Front  Wheel Drive
  • Performance   :    0 – 100 Km/h (N/A) / Top Speed (N/A)
  • Weight               :    1,258 Kg.

Check Also

Honda Double Happy Double Lucky Campaign 2024

ฮอนด้า มอบรางวัลใหญ่ ในแคมเปญ “Honda Double Happy, Double Lucky ซื้อรถฮอนด้าวันนี้ แฮปปี้คูณสอง” รวมทั้งสิ้น 30 รางวัล มูลค่ากว่า 13 ล้านบาท

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายฮิเดโอะ คาวาซากะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ พร้อมด้วย คุณอารีย์ สุชนลิมะกุล ผู้จัดการทั่วไปส่วนการขายและส่วนบริการหลังการขาย ส่งมอบรางวัลใหญ่รถยนต์ฮอนด้าในไลน์อัปเอสยูวี 4 …

Leave a Reply