Breaking News

รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattro เอสยูวีพลังไฟฟ้าคันแรกของอาวดี้

รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattro แชร์เทคโนโลยีบางส่วนมาจาก Porsche Taycan ส่งให้มันไฮเทค, มีศักยภาพสูงและเป็นรถที่ขับสนุกเกินคาด!

รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattro
แถบสีดำด้านข้าง (บริเวณส่วนล่างของประตู) ไม่เพียงเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของการแสดงถึงตำแหน่งที่ระบบแบตเตอรี่ทั้งหมดถูกติดตั้งเอาไว้ พวกมันมีน้ำหนัก 700 กก. นับเป็นองค์ประกอบที่หนักที่สุดของรถ ได้รับการปกป้องอย่างเอาจริงเอาจริงเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ตัวเรือนมีโครงสร้างกันกระแทกที่ซับซ้อนซึ่งประกอบไปด้วยชิ้นส่วนอะลูมิเนียมอัดขึ้นรูป 47% แผ่นอลูมิเนียม 36% และชิ้นส่วนอลูมิเนียมหล่อ 17% ติดตั้งเข้ากับรถด้วยจุดยึดถึง 35 ตำแหน่ง นอกจากนั้น ยังมีแผ่นอะลูมิเนียมหนา 3 มม. ปิดใต้ท้องรถ (บริเวณแบตเตอรี่) อีกด้วย

รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattro เอสยูวีพลังไฟฟ้า

Audi e-tron Sportback 55 quattro

รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattro

รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattro
Audi เคลมว่าการชาร์จพลังงานกลับของ e-tron เพิ่มระยะทางการขับขี่ได้สูงสุดถึง 30% โดยมอเตอร์สามารถกู้คืนพลังงาน (โดยไม่เหยียบเบรก) ได้ถึง 90% ของการถอนคันเร่ง นอกจากนั้น ผู้ขับยังเลือกการกู้คืนพลังงานได้ 3 รูปแบบ คือ น้อย, มาก และไม่กู้คืนเลย ซึ่งจะไม่เกิดแรงหน่วงใดๆ ทำให้รถไหลไปได้ไกลยิ่งขึ้น
รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattro
จุดเด่นของตัวถังแบบท้ายลาดในรุ่น Sportback เมื่อเทียบกับ e-tron แบบท้ายตัด คือกินพื้นที่เหนือศีรษะไปเพียง 20 มม. จึงแทบไม่มีผลกระทบกับผู้โดยสารเบาะหลัง นอกจากนั้นยังมีแรงเสียดทานอากาศต่ำกว่า โดย Audi กล่าวว่า มันให้ระยะทางการขับขี่เพิ่มขึ้นอีกราว 10 กม. ทีเดียว

เรากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. บนเลนขวาสุดของมอเตอร์เวย์ ในห้องโดยสารที่เงียบพอๆ กับนั่งอยู่ในห้องสมุด เราต่างทราบสรรพคุณแห่ง Instance Torque อันเป็นจุดเด่นของรถไฟฟ้ากันเป็นอย่างดี

ความสนุกจากการได้สัมผัสแรงฉุดมหาศาลเมื่อกดคันเร่งมิดพรมเป็นอะไรที่ยากจะห้ามใจไม่ให้ลิ้มลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ e-tron ซึ่งมี 360 แรงม้า และ 561 นิวตันเมตร รออยู่อย่างพร้อมเพรียงใต้เท้าขวาของคุณ… แต่เดี๋ยวก่อน… ถ้าเป็น 408 แรงม้า กับ 664 นิวตันเมตรล่ะ?

จะรออะไร!?!?

ปรับไปที่ตำแหน่ง “S” แล้วเหยียบคันเร่งให้จมพื้น คุณจะเปิดการทำงานของโหมด Overboost ทันที มอเตอร์ทั้ง 2 ตัวของ e-tron จะมอบโบนัสนั้นให้เป็นเวลานานสูงสุด 8 วินาที – หากคุณเหยียบคันเร่งจนสุดค้างเอาไว้ – ราวกับหวดแส้ใส่ม้าที่ผยศอยู่แล้ว เสียงหวีดของมอเตอร์ดังขึ้นพร้อมกับแรงดึงที่กดตัวคุณจมติดกับเบาะ e-tron

กระโจนไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา หน้ารถเชิดขึ้นจากผลของแรงบิดอันทรงพลัง ทุกสิ่งเบื้องหน้าวิ่งเข้าหาคุณอย่างรวดเร็ว การนับถอยหลังจาก 8 วินาที ลงไป ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกินเมื่ออยู่ในวัตถุที่เพิ่มความเร็วได้ราวกับกำลังวาร์ปข้ามมิติเช่นนี้

ที่ความเร็วสูง ช่วงล่างถุงลมจะปรับให้ e-tron หมอบต่ำลง 26 มม. จากความสูงปกติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัวและลดแรงต้านอากาศลง ส่งผลให้รถวิ่งได้ระยะทางเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในโหมด S ที่ช่วงล่างถูกปรับให้แข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังนุ่มนวลและให้แรงยึดเกาะในระดับสูงถึงจะเปลี่ยนเลนไปมาขณะวิ่งด้วยความเร็วขนาดนี้ก็ตาม

ต้องยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับจุดศูนย์ถ่วงต่ำ จากการวางองค์ประกอบที่มีน้ำหนักมากๆ ไว้ด้านล่างของตัวถัง โดยเกือบทั้งหมดอยู่กึ่งกลางรถ ผลลัพธ์ก็คือตัวถังที่เอียงตัวน้อยลงเมื่อเกิดแรงเหวี่ยง และอัตราส่วนน้ำหนักเฉลี่ย หน้า:หลัง ที่เกือบจะเท่ากัน

คุณจะสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพา e-tron ไปยังถนนที่คดเคี้ยว เวอร์ชั่น Sportback ท้ายลาด แตกต่างจาก e-tron ตัวถังเอสยูวีท้ายตัดแบบปกติ เนื่องจากมันมาพร้อมกับช่วงล่างแบบสปอร์ตและตัวถังที่ถูกดามเพิ่มเติมเพื่อลดการบิดตัวขณะเข้าโค้ง เมื่อรวมกับจุดศูนย์ถ่วงต่ำและระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ส่งให้ e-tron เกาะถนนเป็นเลิศ

มันให้ความรู้สึกเหมือนรถซีดานมากกว่าเอสยูวีที่หนักถึง 2.5 ตัน ทั้งในด้านของการบังคับควบคุมและการทรงตัว พวงมาลัยก็เฉียบคม, ฉับไว, หนักแน่น และสื่อสารทุกองศาการเลี้ยวมายังมือของคุณ ทั้งหมดนี้ให้ผลลัพธ์ที่เหนือชั้นทั้งยังเชื่องมือแม้จะอยู่ในโหมด S ที่ระบบ ESC ถูกลดบทบาทลงก็ตาม

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป e-tron มีทุกอย่างที่คุณคาดหวังว่าจะได้รับจากรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นอัตราเร่งที่ทันอกทันใจ, ปลอดมลพิษ และความเงียบเชียบขณะขับขี่ ซึ่งอย่างหลังถือว่าทำได้เหนือกว่า EV ทั่วไปมาก มีการซีลช่องว่างต่างๆ ภายในตัวถัง, ใช้พรมไมโครไฟเบอร์บุซุ้มล้อ, เคลือบวัสดุพิเศษบนโลหะที่เกี่ยวเนื่องเพื่อลดความสั่นสะเทือน, ใช้ผนังห้องเครื่องแบบมีโครงสร้างซ้อนกันหลายชั้น, พรมในห้องโดยสารรองด้วยโฟม, กระจกหน้าแบบอะคูสติก และมอเตอร์ขับเคลื่อนหุ้มด้วยแคปซูลลดเสียงการทำงาน

ผลลัพธ์คือความเงียบสงบแม้ขับด้วยความเร็วสูงก็ตาม ห้องโดยสารกว้างขวางและถึงจะเป็นรุ่นท้ายลาด แต่พื้นที่ความสูงของหลังคาบริเวณเหนือศีรษะของผู้โดยสารเบาะหลังก็เตี้ยกว่าเพียง 20 มม. ทำให้ยังคงนั่งสบายไม่ต่างจากรุ่นท้ายตัด มีเพียงพื้นที่เก็บของท้ายรถเท่านั้นที่น้อยกว่า 45 ลิตร นั่นหมายถึง Sportback มี 615 ลิตร (เทียบกับ 660 ลิตร ของรุ่นท้ายตัด) บวกด้วยอีก 60 ลิตร ที่กล่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้า

คู่แข่งโดยตรงของ Audi e-tron Sportback ก็คือ Jaguar i-Pace ที่ใกล้เคียงกันทั้งรูปทรง, ขนาดแบตเตอรี่ และพละกำลัง แต่เหนือกว่าในเรื่องของอัตราเร่ง (0-100 กม./ชม. ใน 4.8 วินาที, เร็วกว่า e-tron ในโหมด Overboost ถึง 0.9 วินาที)

ทว่ามีราคาแพงกว่าแม้ในเกรดเริ่มต้น (5.5 ล้านบาท) ขณะที่ e-tron ราคา 5.3 ล้านบาท มีอุปกรณ์มาตรฐานมาให้มากกว่า, ห้องโดยสารกว้างขวางกว่า และรองรับการชาร์จ DC 150 กิโลวัตต์ เอสยูวีพลังไฟฟ้าคันแรกจาก Audi จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattr
e-tron ที่ขายในไทยติดตั้งชุดแต่ง S line มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน กระจังหน้าใช้สีเทาแพลทินัม ด้านหลังของกระจังมีบานเกล็ด 2 ชุด ซึ่งปกติจะปิดเพื่อลดแรงต้านอากาศ และเปิดอัตโนมัติเพื่อรับลมเข้าไประบายความร้อนเมื่ออุปกรณ์ต่างๆ ของระบบขับเคลื่อนหรือคอนเดนเซอร์ของระบบปรับอากาศ ต้องการการลดความร้อนเท่านั้น
รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattr
e-tron รุ่นจำหน่ายในไทย ให้มาเพียงไฟหน้าแบบ LED ในขณะที่ตลาดต่างประเทศมีออปชั่นเป็นไฟ Digital Matrix LED ที่นำพื้นฐานของชิพที่ใช้ในการสร้างภาพ (DMD – Digital Micromirror Device ใช้กระจกเงาขนาดเล็กจำนวนมากบรรจุไว้ในแต่ละชิพ กระจกแต่ละชิ้นจะสร้างให้เกิดเป็นพิกเซลของภาพขึ้น) แบบเดียวกับที่มีอยู่ในเครื่องฉายโปรเจคเตอร์มาใช้ โดยไฟหน้าของ e-tron ใช้ชิพ DMD ขนาดเล็กที่บรรจุกระจกเงาไว้ถึง 1 ล้านชิ้น แต่ละชิ้นสามารถปรับเอียงไปมาได้เร็วสูงสุดที่ 5,000 ครั้ง/วินาที!!! มันจะสร้างกราฟิกแอนิเมชั่นที่น่าตื่นตาตื่นใจส่องไปยังกำแพงหรือบนพื้นได้หลากหลายรูปแบบเมื่ออยู่ในโหมด Coming (หรือ Leaving) Home แต่จุดประสงค์หลักคือ ความปลอดภัยด้วยการแสดงกราฟฟิกลงบนถนนขณะขับขี่ ควบคู่ไปกับการส่องสว่างปกติของไฟหน้า เช่น แสดงเป็นผืนกรอบไฟพร้อมลูกศรในเลนที่รถกำลังวิ่งอยู่, ขยายกรอบไฟไปยังเลนที่รถกำลังจะเปลี่ยนช่องทางไป, ส่องเฉพาะจุดไปยังคนเดินเท้าที่อยู่ใกล้ขอบถนน เพื่อให้ผู้ขับสังเกตเห็นและไฟยังไกด์คนเดินเท้าให้ถอยห่างจากขอบถนนได้อีกด้วย
รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattr
Audi เป็นแบรนด์แรกๆ ของโลก ที่ให้ความใส่ใจกับดีไซน์ของไฟอย่างลงลึก แน่นอนว่า e-tron ก็เช่นกัน แถบไฟ 4 เส้น เป็นเอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้ ใช้แถบไฟแนวตั้งเพื่อเชื่อมต่อไปยังเส้นไฟ DRL ด้านบน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีส้มและวิ่งแบบไดนามิกเมื่อเปิดไฟเลี้ยว
รีวิว ทดสอบ Audi e-tron Sportback 55 quattr
ช่องเปิดด้านข้างกันชนทำหน้าที่ระบายลมเพื่อลดแรงต้าน อากาศที่วิ่งผ่านช่องนี้จะไหลต่อไปยังด้านนอกของล้ออย่างเป็นระเบียบ ความพยายามเหล่านี้ก็เพื่อช่วยให้รถสามารถวิ่งได้ไกลยิ่งขึ้น
Audi e-tron Sportback 55 quattro
ไฟท้ายแบบ Full LED มีดีไซน์งดงามและแสดงไดนามิกได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจเช่นกัน เส้นไฟขนาดเล็กที่พาดยาวตลอดแนวขวางของรถชวนให้นึกถึงภาพยนตร์แนวไซเบอร์พังค์ เป็นอะไรที่เท่มากๆ
Audi e-tron Sportback 55 quattro
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ “quattro” ใน e-tron ทำงานได้ฉับไวกว่าในรถ Audi ที่ใช้เครื่องยนต์ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีชุดคลัตช์สำหรับทำหน้าที่แบ่ง (เฉลี่ย) กำลังระหว่างเพลาทั้งหน้าและหลัง แต่เพิ่มหรือลดแรงได้โดยตรงจาก (ระหว่าง) มอเตอร์ทั้งสองตัว ระบบจึงทำงานได้ในเวลาเพียง 30 มิลลิวินาที หลังจากตรวจพบการลื่นไถล โดยใช้ชุดควบคุมส่วนกลางที่รวมเอาการควบคุมระบบ quattro และการแบ่งถ่ายแรงบิดไปยังแต่ละล้อเข้าไว้ด้วยกัน
Audi e-tron Sportback 55 quattro
ตัวอักษร “e-tron” รองพื้นด้วยสีส้มโทนเดียวกับสัญลักษณ์เตือน “ไฟแรงดันสูง” ของระบบจ่ายกระแสไฟแบตเตอรี่ ซึ่งผู้ออกแบบยังใช้สีส้มนี้เชื่อมโยงไปยังระบบเบรกอีกด้วย…
Audi e-tron Sportback 55 quattro
ฝาปิดช่องเสียบหัวชาร์จเปิดได้โดยการกดปุ่มที่ติดตั้งไว้ปลายสุดของแถบสีดำ มีช่องเสียบให้ทั้งสองฝั่งของรถจึงสะดวกสำหรับการชาร์จที่บ้านซึ่งอาจต้องติดตั้งเครื่องชาร์จไว้ในตำแหน่งที่แตกต่างกันออกไป โดยช่องเสียบหัวชาร์จ DC มีเฉพาะฝั่งขวาของรถเท่านั้น การชาร์จ AC ที่ 11 กิโลวัตต์ (400 โวลต์, ระบบไฟสามเฟส) จนเต็มใช้เวลาราว 8 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จ DC สูงสุดถึง 150 กิโลวัตต์ พร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติเมื่อชาร์จความเร็วสูง เพื่อลดความร้อนขณะชาร์จ หรือแม้กระทั่งเพิ่มอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อชาร์จในอากาศหนาวเย็น
Audi e-tron Sportback 55 quattro
e-tron ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว (184 แรงม้าสำหรับล้อคู่หน้าและ 224 แรงม้าที่ล้อคู่หลัง) ให้กำลังรวมสูงสุด 360 แรงม้า, 561 นิวตันเมตรโดยมอเตอร์ของล้อหลังเป็นขุนพลหลักในการขับเคลื่อน และมอเตอร์ที่ล้อหน้าจะทำงานเมื่อคุณเรียกพลังจนเกินกว่าความสามารถสูงสุดของมอเตอร์หลัง หรือเมื่อจำเป็นต้องควบคุมการยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้ง เมื่อคุณเหยียบคันเร่งจนสุดในเกียร์ D ระบบไฟฟ้าจะปล่อยพละกำลังสูงสุดทั้งหมดให้ใช้นานสูงสุด 60 วินาที ซึ่งเหลือเฟือสำหรับการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง ยาวตลอดทางจนถึงลิมิต 200 กม./ชม. หรือถ้าเหยียบมิดพรมในเกียร์ S จะเป็นการเปิด Overboost คุณจะได้ 408 แรงม้า, 664 นิวตันเมตร มาใช้เป็นเวลาสูงสุด 8 วินาที แบตเตอรี่มีความจุ 95 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถใช้งานได้ราว 400 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง มาพร้อมระบบระบายความร้อนที่ครอบคลุมระบบไฟฟ้าทั้งหมด โดยใช้เจลหล่อเย็นปริมาณมากถึง 22 ลิตร และมีท่อทางเดินความยาวรวมกว่า 40 เมตรทีเดียว!
Audi e-tron Sportback 55 quattro
คาลิเปอร์คู่หน้า 6 ลูกสูบ ใช้สีส้มของสายไฟแรงดันสูงเช่นกัน ระบบเบรกของ e-tron ใช้เทคโนโลยีเดียวกับที่มีอยู่ใน Porsche Taycan สปอร์ตคาร์พลังไฟฟ้าที่อยู่ในเครือเดียวกัน กล่าวคือ เมื่อเหยียบแป้นเบรกที่การใช้งานทั่วไป ระบบเบรกจะยังไม่ถูกใช้งาน แต่การลดความเร็ว (จนถึงหยุดนิ่ง) เกิดขึ้นจากการหมุนย้อนทางของมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งนอกจากเบรกแล้วยังชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ไปพร้อมๆ กันด้วย ส่วนระบบเบรกจริงๆ จะทำงานเมื่อเบรกจนมี G-force สูงกว่า 0.3g โดยแรงดันน้ำมันเบรกถูกควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ จึงทำงานได้ฉับไวกว่าระบบเบรกทั่วไปถึง 2 เท่า นอกจากนั้น ยังช่วยให้สามารถเพิ่มระยะห่างระหว่างผ้าเบรกกับดิสก์ได้มากยิ่งขึ้น จึงลดความฝืดได้อีกทางหนึ่ง ระบบเบรกจากคาลิเปอร์จะทำงานที่ความเร็วต่ำมากๆ ด้วยเช่นกัน (อาทิ ขณะกำลังจอดรถ) เนื่องจากระบบกู้คืนพลังงานไม่สามารถชาร์จไฟกลับได้ที่ความเร็วต่ำ ด้วยวิธีนี้ทำให้ผ้าเบรกมีอายุการใช้งานยาวนานมาก อ้างอิงจาก Taycan ซึ่งระบุว่าสามารถใช้ได้ถึง 6 ปี
Audi e-tron Sportback 55 quattro
ก้านล้อที่ออกแบบให้แบนและยกสูงออกจากส่วนดุมเพียงเล็กน้อยเพื่อผลทางด้านแอโรไดนามิกส์ เมื่อล้อหมุนจะเกิดรูปทรงเสมือนแผ่นแบนซึ่งลดแรงต้านได้ดีกว่า โดยไม่ต้องคำนึงถึงการระบายความร้อนให้เบรกนัก เนื่องจากพวกมันจะถูกใช้งานโดยเฉลี่ยเพียง 10% เท่านั้น โดยการเบรกส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากแรงหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า… ล้อมีขนาด 21 นิ้ว คู่กับยาง 265/45 ทั้งสี่ล้อ
Audi e-tron Sportback 55 quattro
บรรยากาศโดยรวมยังคงสะท้อนความเป็น Audi ได้อย่างชัดเจน จอแสดงผลส่วนกลางทั้งสองหันเข้าหาผู้ขับจึงใช้งานได้สะดวกขึ้น ส่วนเว้าของแผงประตูที่ต่อเนื่องมาจากแดชบอร์ดเตรียมไว้สำหรับติดตั้งจอภาพแบบ OLED เพื่อแสดงผลจากกล้องที่ใช้แทนกระจกมองข้าง ใน e-tron รุ่นที่ขายในไทยไม่ได้ติดตั้งมาให้
Audi e-tron Sportback 55 quattro
พวงมาลัยทรง D เป็นส่วนหนึ่งในชุดแต่ง S line ระบบบังคับเลี้ยวให้สัมผัสที่ยอดเยี่ยม ทั้งเฉียบคม, ตอบสนอง และสื่อสารได้ดี มันสามารถแปรผันอัตราทดได้ตามองศาการหักเลี้ยว กล่าวคือ ยิ่งคุณหักเลี้ยวมากเท่าไหร่ การตอบสนองก็จะยิ่งไดเร็กท์ขึ้นเท่านั้น ส่วนที่ความเร็วต่ำก็จะปรับอัตราทดให้สามารถเลี้ยวได้มากขึ้นด้วยการหมุนพวงมาลัยเพียงเล็กน้อย ช่วยเพิ่มความคล่องตัวขณะขับในทางแคบๆ หรือเข้าจอดได้เป็นอย่างดี
Audi e-tron Sportback 55 quattro
โดยปกติผมไม่ได้ไปวุ่นวายกับปุ่ม เปิด-ปิด ไฟหน้า เนื่องจากมันถูกตั้งการทำงานเป็นอัตโนมัติอยู่แล้ว ผมเพิ่งค้นพบเมื่อตอนที่ขับทดสอบ Audi Q7 ไปก่อนหน้านี้ ว่าเมื่อเอานิ้วไปใกล้ๆ ไฟของปุ่มจะติดสว่างขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันพร้อมสำหรับการกดใช้งาน… เจ๋งดี
Audi e-tron Sportback 55 quattro
ก้านเปิดประตู (รวมถึงมือจับด้านนอกรถ) ไม่ได้เป็นกลไกดึงกลอนเหมือนรถทั่วไป แต่ทำหน้าที่เป็นสวิตช์เพื่อสั่งมอเตอร์ให้ปลดกลอนอีกทีหนึ่ง เมื่อคุณดึงจึงไม่รู้สึกถึงการ “คลิ๊ก” แต่อย่างใด นอกจากนั้น ประตูยังเป็นแบบ Soft Close หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ประตูดูด” อีกด้วย
Audi e-tron Sportback 55 quattro
อุปกรณ์บางส่วนจึงถูกตัดออกไป ไม่มีระบบช่วยเหลือขณะขับขี่มาให้มากนัก และคุณจะได้แค่ครูสคอนโทรลแบบธรรมดาเท่านั้น แต่ก็ช่วยให้ e-tron Sportback มีราคาที่เอื้อมถึงได้ง่ายขึ้น
Audi e-tron Sportback 55 quattro
จอดิจิตอลความละเอียด 1920×720 พิกเซิล ที่ Audi เรียกว่าระบบ Virtual Cockpit ใช้แสดงผลและเรียกดูข้อมูลต่างๆ ผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย แม้จะมีในรถหลายรุ่นของ Audi แต่ใน e-tron กราฟฟิกต่างๆ ถูกปรับเปลี่ยนใหม่หมด ในแต่ละรูปแบบของการแสดงผลสามารถเลือกปรับได้อีก 2 มุมมองผ่านปุ่ม VIEW (บนพวงมาลัยเช่นกัน) ในภาพคือมุมมองที่แสดงแผนที่เป็นหลัก และลดการแสดงข้อมูลอื่นๆ ให้เล็กลง ถ้ากดปุ่ม VIEW อีกครั้ง ก็จะสลับมาย่อแผนที่และขยายข้อมูลอื่นๆ ให้ใหญ่ขึ้นแทน

Audi e-tron Sportback 55 quattro

Audi e-tron Sportback 55 quattro
จอแสดงผลส่วนกลางเป็นระบบ “Touch Response” ที่จะตอบสนองเหมือนกดปุ่มทั่วๆ ไป โดยคุณต้องออกแรงกดลงไปเล็กน้อยเพื่อเข้าไปยังเมนูที่ต้องการ ซึ่งดีมากๆ เพราะป้องกันไม่ให้คุณเข้าเมนูต่างๆ โดยไม่ตั้งใจ ไอคอนต่างๆ มีขนาดใหญ่ และการเลื่อนไปมาก็ตอบสนองได้ฉับไวเช่นเดียวกับสมาร์ตโฟน พร้อมระบบ Audi Smartphone จะเชื่อมต่อบริบทของทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto เข้ามาแสดงผลบนหน้าจอของรถอัตโนมัติ นอกจากนั้น ถ้าบ้านของคุณมีระบบ Smart Home ก็สามารถสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa เพื่อควบคุมระบบต่างๆ ของบ้านได้จากในรถ โดยเชื่อมต่อรถเข้ากับบัญชี Amazon เพื่อใช้งาน Alexa ได้ทันที ไม่ต้องมีแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์หรือเชื่อมต่อโทรศัพท์กับรถ ส่วนจอด้านล่างใช้สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศและอื่นๆ อีกเล็กน้อย มันจะเปลี่ยนเป็นทัชแพดสำหรับใช้เขียนตัวอักษรได้ เมื่อคุณใช้ sat-nav… โอเคสำหรับผู้ขับที่ถนัดซ้าย แต่ถ้าถนัดขวาล่ะก็…
Audi e-tron Sportback 55 quattro
หนึ่งในสิ่งแปลกใหม่ก็คือการเลือกตำแหน่งเกียร์… กดสวิตช์สีเงินไปด้านหน้าหรือหลังเพื่อเลือก อาจฟังดูแปลกๆ แต่มันใช้งานได้สะดวกและง่ายดายเหลือเชื่อ!
Audi e-tron Sportback 55 quattro
ปุ่ม “drive select” ก็เป็นแบบสัมผัสและตอบสนองเหมือนกำลังกดปุ่มจริงๆ เช่นกัน มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 7 โปรไฟล์ ซึ่งนั่นรวมถึงโหมด Off-road ที่จะยกช่วงล่างขึ้น 35 มม. (จากตำแหน่งปกติ) และถ้าเลือกฟังก์ชั่น “Lift” ร่วมด้วย รถจะยกสูงเพิ่มเติมได้อีก 15 มม. โดยถุงลมสามารถแปรผันจากระยะเตี้ยถึงสูงสุดได้รวม 76 มม. หรือประมาณ 3 นิ้ว
Audi e-tron Sportback 55 quattro
ระบบปรับอากาศแบบแยกการปรับตั้งอุณหภูมิได้ถึง 4 โซน คุณสามารถใช้แอพฯ myAudi เพื่อเปิดการปรับอากาศได้จากสมาร์ตโฟน นอกจากนั้น ยังสั่งตั้งเวลาเปิดระบบทำความ เย็น/ร้อน ของเบาะ, ระบบทำความร้อนพวงมาลัย หรือแม้แต่ไล่ฝ้ากระจกหลัง ได้จากมือถือก่อนที่คุณจะเริ่มใช้รถได้อีกด้วย

SPECIFICATIONS

  • AUDI E-TRON SPORTBACK 55 QUATTRO
  • Price: ฿5,299,000
  • Engine: Twin asynchronous electric motors, 95kWh lithium-ion battery, 360ps, 561Nm (408ps, 664Nm Overboost)
  • Transmission: Single-speed automatic, all-wheel drive
  • Performance: 6.6sec 0-100km/h (5.9sec Overboost), 200km/h top speed (limited), 0g/km Co2
  • Weight: 2520kg
  • NCAP rating: 5 stars

Check Also

Honda City Hatchback 2024 TURBO RS

รีวิว ลองขับ Honda City Hatchback 2024 TURBO RS เสริมความสปอร์ต เน้นความประหยัดสำหรับ Hot Hatch ตัวจริง

รีวิว ลองขับ Honda City Hatchback TURBO RS เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO ให้กำลัง 122 …