รีวิว ลองขับ Mitsubishi X-Force HEV Ultimate X 2025 ดีไซน์ Silky & Solid พร้อม 7 Drive Mode และเทคโนโลยี Mitsubishi e:MOTION
รีวิว ลองขับ Mitsubishi X-Force HEV คอมแพคต์ SUV ไฮบริดใหม่
Mitsubishi X-Force HEV Ultimate X 2025
“นำร่องด้วย Mitsubishi Xpander HEV และ Xpander Cross HEV ยนตรกรรม Full Hybrid สไตล์ MPV เจเนอเรชันแรก เพื่อต่อยอดสู่ก้าวที่ 2 แห่งความสำเร็จ … และนี่คือ Mitsubishi X-Force HEV ยนตรกรรม Compact SUV แบบ Full Hybrid สมรรถนะรอบด้าน ในแบบที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว”
กับ Mitsubishi X-Force HEV เสียงลือเสียงเล่าอ้างมีออกมาอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็บอกว่า “ดี” บ้างก็บอกว่ามีจุดที่ต้อง “ติ” … เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะรู้ได้ คือ “ยืม” มาทำความรู้จักและสัมผัส สักหน่อย จะดีกว่า
เพราะว่าสิ่งเดียวที่เรารู้ก็คือ Mitsubishi X-Force HEV มากับเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Mitsubishi Xpander HEV และ Xpander Cross HEV แค่นั้น
สำหรับ Mitsubishi X-Force HEV ที่จัดจำหน่ายอยู่ในบ้านเรานั้น หลักๆ จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นย่อย เริ่มต้นด้วยรุ่น IGNITE ค่าตัว 899,000 บาท ไล่ขึ้นมาเป็นรุ่น ULTIMATE ค่าตัว 1,039,000 บาท
และรุ่นสูงสุดที่เห็นอยู่นี้ คือ รุ่น ULTIMATE X ราคา 1,089,000 บาท พร้อม ออปชัน “จัดเต็ม” ที่สุด ซึ่งเราแนะนำให้เปิดแคตตาล็อกดูน่าจะช่วยให้ชัดเจนมากกว่าในเรื่อง “ความต่าง” ของแต่ละรุ่น
แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้ง 3 รุ่น “ไม่ต่าง” กันเลย คือ ความหล่อเหลาของงานดีไซน์ ที่นำแนวคิด Silky & Solid ทิศทางใหม่ในการออกแบบของมิตซูบิชิมาใช้กับ All-New Mitsubishi X-Force HEV ผสานสไตล์โดดเด่นเข้ากับความทรงพลังได้อย่างลงตัว เช่น
เอกลักษณ์ Dynamic Shield แบบ 3 มิติ รับกับสัญลักษณ์ Three Diamond และกระจังหน้าที่ออกแบบกลมกลืนกับกันชนหน้า เสริมด้วยไฟหน้า, ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน และไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED ที่โดดเด่น
ในมุมมองด้านข้างสะดุดตากับหลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof) ด้านบน ทั้งยังมีจุดที่เราชื่นชอบมาก ๆ อีกด้วย นั่นคือความชัดเจนในอัตลักษณ์ของยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV ซึ่งประกอบด้วย การกำหนดความสูงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) ไว้ที่ 183 มม. ผสานกับดีไซน์สปอร์ตของล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 18 นิ้ว และการตกแต่งด้วยวัสดุที่มีโทนสีตัดกับตัวรถ
ในมุมมองด้านหลังของ All-New Mitsubishi X-Force HEV ยังคงรักษาธีมการออกแบบจากด้านหน้าไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนชุดไฟท้าย LED สี Smoke ที่ต้องเรียกว่าเป็น “ไอคอนนิค” เลยทีเดียว
ทั้งสไตล์งานดีไซน์ในรูปทรง T-Shape และความเล็กของ “ไฟเลี้ยว” และ “ไฟเบรก” ซึ่งในส่วนของไฟเบรกนั้นดีหน่อยที่มีอีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มมาให้ นั่นคือ “ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED” ติดตั้งอยู่ที่บริเวณสปอยเลอร์หลังคานั่นเอง
ภายในห้องโดยสารมากับคอนเซ็ปต์ “Horizontal Axis” ตอบโจทย์สไตล์คนรุ่นใหม่ ตั้งแต่การเลือกใช้สีทูโทน Mélange-Mocha การตกแต่งด้วยผ้าแบบพิเศษเพื่อกันน้ำและคราบสกปรก ไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุหุ้มเบาะแบบ “Heat Guard” ที่ช่วยสะท้อนความร้อนจากแสงแดด
ทั้งยังตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วยความกว้างขวางของห้องโดยสาร ซึ่งเบาะนั่งด้านหลังไม่เพียงปรับเอนได้ แต่ยังสามารถพับปรับได้แบบ 40:20:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย
All-New Mitsubishi X-Force HEV มากับออปชันระดับไฮไลต์ที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ หน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ที่ดีไซน์แบบ Multi-widget (มัลติวิดเจ็ต) ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเพื่อแสดงข้อมูลต่าง ๆ พร้อมกันบนหน้าจอเดียว มีแรงบันดาลใจจากมาตรวัดสามช่องในรถระดับตำนานอย่าง Mitsubishi Pajero
หน้าจอกลางมากับระบบสัมผัส และขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว พร้อมฟังก์ชัน Smartphone-link Display Audio (SDA) ตลอดจนรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ไปจนถึง Web Link เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย
ระบบปรับอากาศยังคงมากับระบบฟอกอากาศ nanoe™ X เพื่อช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ และยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย สำหรับสร้างความสดชื่นตลอดการเดินทาง เช่นเดียวกับ ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) บริเวณคอนโซลหน้า และแผงประตูด้านหน้า
และไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ “เครื่องเสียง” เพราะ All-New Mitsubishi X-Force HEV เค้ามากับ Dynamic Sound Yamaha Premium Sound System (ไดนามิค ซาวด์ ยามาฮ่า พรีเมียม ซาวด์ ซิสเต็ม)
มาพร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง ให้คุณภาพเสียงราวกับฟังเครื่องดนตรีแบบแยกชิ้น ทั้งยังเลือกรูปแบบเสียงได้ถึง 4 เพื่อเพิ่มสุนทรียภาพ และประสบการณ์ขับขี่ที่เพลิดเพลินยิ่งขึ้น
Diamond Sense เทคโนโลยีความปลอดภัย คืออีกหนึ่งจุดเด่นของ All-New Mitsubishi X-Force HEV ที่สามารถดูแลครอบคลุมได้ถึง 360 องศา จากการใช้กล้อง เซนเซอร์ และเรดาห์ ทำงานร่วมกันอย่างแม่นยำ เพื่อส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบหากเกิดสภาวะฉุกเฉินหรือต้องระมัดระวัง ประกอบด้วย
ระบบ MAM with Moving Object Detection: กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะ ทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่ง แสดงภาพสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว, ระบบ LCDN: ช่วยเตือนเมื่อรถด้านหน้าออกตัวหรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า, ระบบ BSW with LCA: ช่วยเตือนจุดอับสายตาและระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน,
ระบบ FCM: ช่วยเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วป้องกันความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้า, ระบบ ACC: ช่วยล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ จนถึงจุดหยุดนิ่ง, ระบบ AHB: ช่วยควบคุมไฟสูงโดยอัตโนมัติ, ระบบ RCTA: ช่วยเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด
ความสำเร็จของ All-New Mitsubishi X-Force HEV คือ MITSUBISHI e:MOTION การผสาน 3 เทคโนโลยีสุดล้ำของค่ายเข้าด้วยกัน ได้แก่ ระบบขับเคลื่อน Full-Hybrid เจเนอเรชันล่าสุด, โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ และระบบควบคุมการขับเคลื่อนพร้อมสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC)
โดยระบบขับเคลื่อน Full-Hybrid เจเนอเรชันล่าสุด ของ All-New Mitsubishi X-Force HEV พัฒนามาจากความสำเร็จของระบบ Plug-in Hybrid (PHEV) และต่อยอดมาถึง Full-Hybrid รุ่นแรกอย่าง Xpander HEV จนถึง X-Force HEV ทำให้ประสิทธิภาพในการส่งกำลังเหนือกว่า
นอกจากนี้ยังเพิ่มกลไกตัดการเชื่อมต่อของมอเตอร์เข้าไป ทำให้ลดการสูญเสียพลังงานได้มากขึ้นและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น โดยเคลมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยไว้ที่ 24.4 กิโลเมตร/ลิตร
รวมถึงสามารถทำระยะทางในการขับขี่ต่อถังน้ำมันได้สูงที่สุดเมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน ระบบส่งกำลังของ All-New Mitsubishi X-Force HEV เป็นแบบ 2-Speed Transaxle เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่แบบรถไฟฟ้า
ด้วยคุณสมบัติเด่นเรื่องอัตราเร่งและความเงียบ จากการที่มอเตอร์ เจเนอเรเตอร์ และระบบส่งกำลังถูกออกแบบให้ทำงานผสานกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อลดเสียงรบกวน
โดยระบบขับเคลื่อน Full-Hybrid ของ All-New Mitsubishi X-Force HEV มีทั้งการขับขี่แบบ EV Drive, การขับขี่แบบ Hybrid-Series, การขับขี่แบบ Hybrid-Parallel, การขับขี่แบบ Hybrid–Motor Disconnected และการขับขี่แบบ Power Regenerative โดยจะปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่อัตโนมัติตามสถานการณ์การขับขี่และปริมาณพลังงานที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่
ส่วนต่อมา 7 Drive Mode หรือโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ แบ่งออกเป็นโหมดการขับขี่แบบรถไฟฟ้า 2 รูปแบบ คือ EV Priority Mode และ Charge Mode ตามด้วยโหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบ ประกอบด้วย
Normal Mode, Tarmac Mode เน้นความเร้าใจเช่นเดียวกับ Sport Mode, Gravel Mode สำหรับถนนลูกรังลดอาการลื่นไถล, Mud Mode สำหรับถนนโคลน
และ Wet Mode สำหรับถนนเปียกลื่น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพแม้ในสภาพฝนตกหนัก โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัสจากสวิตช์บนคอนโซลกลาง
สุดท้ายคือ ระบบ Active Yaw Control (AYC) ช่วยควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง ไปจนถึงควบคุมแรงขับและแรงเบรกของล้อหน้าแต่ละฝั่ง ทำงานร่วมกับระบบ Traction Control System (TCL) ระบบป้องกันการลื่นไถล ป้องกันล้อหมุนฟรี
ระบบ Active Stability Control (ASC) ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว และพวงมาลัยไฟฟ้า Electric Power Steering ซึ่งจะปรับน้ำหนักตามความเร็วและสภาพถนน
โดยทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมและการทรงตัว เพื่อสร้างความมั่นใจและความสนุกในการขับขี่ รวมถึงดึงศักยภาพสูงสุดของ All-New Mitsubishi X-Force HEV ออกมา ทั้งจากเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MIVEC DOHC 16 วาล์ว
ซึ่งถูกใช้งานครั้งแรกใน Xpander HEV มีกำลังสูงสุด 107 แรงม้า พร้อมแรงบิด 134 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 85 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 225 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบเป็นพิเศษ
เสริมด้วยการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากระบบขับเคลื่อนเสริม (Auxiliary Drive Loss) ทำให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นกว่า 40% ส่งผลให้ประหยัดเชื้อเพลิงและประสิทธิภาพโดยรวมของระบบขับเคลื่อนดีขึ้น

ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการทดลองขับ ที่บอกตรง ๆ ว่า All-New Mitsubishi X-Force HEV ทำได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่อต้องขับขี่ในเมือง ที่ต้องการความคล่องตัวสูง ทัศนวิสัยที่ดี และการตอบสนองอันฉับไว เพราะแค่ Normal Mode ก็ตอบโจทย์สิ่งที่เราต้องการได้อย่างมากพอ
ในเรื่องความกระฉับกระเฉงของจังหวะออกตัว ที่ใช้การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเป็นหลัก ขณะที่น้ำหนักพวงมาลัยก็ให้ความเชื่องมือได้อย่างเหมาะสม ชนิดที่ทำให้การจราจรยามคับคั่งอันน่าเบื่อ กลายเป็นเรื่องสนุกอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
จากในเมือง เราออกนอกเมืองเล็กน้อย และเพิ่มน้ำหนักคันเร่งขึ้นอีกนิด เพื่อใช้ความเร็วเพิ่มขึ้น ณ จุดนี้ เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าต้องทำงานสลับกันตามสถานการณ์ และพฤติกรรมผู้ขับขี่อย่างเหมาะสม ภายใต้จุดเด่นหลัก ๆ เลยก็คือ “การตัดต่อกำลัง” ที่เรียบเนียน ไร้รอยต่อ
รวมถึงเรี่ยวแรงที่ถูกถ่ายทอดออกมาก็เป็นอย่างราบรื่นเป็นธรรมชาติ ไม่ได้กระชากหรือกระชั้นให้เสียอารมณ์ ฉะนั้น แค่กดเท้าขวาลงไปบนแป้นคันเร่งเบา ๆ All-New Mitsubishi X-Force HEV ก็พร้อมทะยานพุ่งไปข้างหน้า
จาก Normal Mode ลองเปลี่ยนเป็น Tarmac Mode ดูบ้าง โหมดนี้พูดง่าย ๆ ก็เปรียบได้กับ Sport Mode ที่จะเปลี่ยนบุคลิกของ All-New Mitsubishi X-Force HEV ให้กระฉับกระเฉงขึ้น เรียกว่ารับรู้ได้ถึงการถ่ายทอดพละกำลังที่ฉับไว รวมถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่ตึงมือขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วยเติมรสชาติความสนุกให้ผู้ขับขี่สัมผัสทุกการขับขี่
ระบบช่วงล่างด้านหน้าอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง เสริมด้วยเหล็กค้ำหัวโช๊ค จับคู่กับด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ประกอบกับล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 225/50 ให้ความรู้สึกค่อนข้าง “เป็นกลาง” เพราะมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลว่า “มีการปรับเซ็ตให้เข้ากับถนนเมืองไทยมากที่สุด”
ทำให้ในภาพรวมจึงค่อนข้างมีความ “เป็นกลาง” เพื่อให้สามารถรับมือกับทุกสภาพพื้นผิวถนนในบ้านเราได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น บนเส้นทางไฮเวย์โล่ง ๆ หรือในโค้งกว้าง ๆ ก็ยังให้ความมั่นใจได้ดี ทั้งในเรื่องของการดูดซับแรงสั่นสะเทือนและการยึดเกาะถนน หรือต่อให้เจอโค้งแคบ ๆ ลึก ๆ ก็ยังสามารถรับมือได้
แต่อาจมี “อาการ Body Roll (การโคลงของตัวถัง)” เกิดขึ้นบ้าง ซึ่งนั่นเป็นอาการปกติของยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV ที่มีทั้งความสูงใต้ท้องรถและความสูงของตัวรถเป็นส่วนประกอบ ตลอดจนการปรับเซ็ตช่วงล่างที่เน้นความนุ่มนวลมากกว่าความสปอร์ต
ฉะนั้น ใครที่คาดหวังว่าจะได้สัมผัสความสปอร์ต ความเร้าใจในการขับขี่แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจผิดหวังเล็กน้อย แต่ถ้าคาดหวังอารมณ์การขับขี่ที่ครอบคลุมทุกความต้องการ นั่นแหละ คุณมาถูกทางแล้ว เพราะภาพรวมในความเร็วต่ำ
นอกจากจุดเด่นเรื่องการตอบสนองที่ทันใจ ตลอดจนการควบคุมที่เฉียบคมและคล่องตัวแล้ว การดูดซับแรงสั่นสะเทือนของช่วงล่างยังถือเป็นอีกเรื่องที่น่าประทับใจเช่นกัน
ความดีงามของ All-New Mitsubishi X-Force HEV ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะการขับขี่ในโหมด Normal หรือ Tarmac เท่านั้น แต่ยังมีโหมดอื่น ๆ ที่เราเชื่อว่าจะให้ความมั่นใจได้ดีในสถานการณ์นั้น ๆ อีกด้วย เช่น Wet Mode, Gravel Mode หรือแม้กระทั่ง Mud Mode เอง
ที่เรา “เชื่อ” ก็เพราะว่า 7 Drive Mode หรือโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบของ All-New Mitsubishi X-Force HEV เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจาก Mitsubishi Xpander HEV และ Xpander Cross HEV
ซึ่งเราเคยผ่านมือการทดลองขับในสนามแบบจริงจังทั้ง 3 โหมดมาแล้ว และสามารถคอนเฟิร์มได้ว่า ประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละโหมดการขับขี่นั้น จะทำให้ทุกคนประทับใจได้เป็นอย่างดีแน่นอน
รวมไปถึงเรื่องของอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงอีกด้วย เพราะแม้ตัวเลขโรงงานจะมีการเคลมเอาไว้ที่ 24.4 กิโลเมตร/ลิตร ก็ตาม แต่ถ้าอยากทำความประหยัดมากกว่านี้ ก็แทบไม่ใช่ปัญหา เพราะที่ผ่านมา พี่ ๆ สื่อหลายสำนักก็ทำให้เห็นด้วยตัวเลขที่ต้องบอกว่า “คาดไม่ถึง” …
สุดท้าย ปัญหาโลกแตกที่อุปทานหมู่กันว่า “ไฟเลี้ยว” และ “ไฟเบรก” มีขนาดเล็ก … ใช่ครับ! เล็กจริงไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาต่อการใช้งานอย่างที่หลายคนเข้าใจกันนะครับ
Specification: Mitsubishi X-Force HEV Ultimate X
- Price : 1,089,000 BHT
- Engine : 1,590 CC / MIVEC / 4 Cylinder / 16 Valve 107 HP @ 6,000 RPM / 134 NM @ 4,500 RPM
- Electric Motor : 85 KW / 225 NM
- Transmission : A/T / 2-Speed Transaxle
- Performance : 0 – 100 Km/h @ N/A / Top Speed @ N/A
- Weight : N/A
TorqueThailand.com































