Breaking News

Ferrari 812 GTS V12 ขุมพลัง 800 แรงม้า สปอร์ตคาร์ที่ทรงพลังที่สุด ณ เวลานี้

ข่าวสด รถยนต์ วันนี้: Ferrari 812 GTS สปอร์ตคาร์เปิดประทุน ขุมพลัง V12 หวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งด้วยเครื่องยนต์ 800 แรงม้า

Ferrari 812 GTS

ข่าวสด: Ferrari 812 GTS V12 ขุมพลัง 800 แรงม้า สปอร์ตคาร์ที่ทรงพลังที่สุด

หากคุณกำลังค้นหา Wallpaper รูปรถสวยๆ

เราขอแนะนำ Wallpaper รูปรถสวยๆ Download wallpaper ที่นี้

เป็นเวลา 50 ปี นับจากที่เฟอร์รารี่ เปิดตัวสปอร์ตคาร์เครื่องยนต์ V12 วางด้านหน้าเป็นครั้งแรก วันนี้ 812 GTS หวนคืนบัลลังก์เพื่อประกาศก้องถึงความยิ่งใหญ่ของหนึ่งในยนตรกรรมที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของเฟอร์รารี่ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มก่อตั้งแบรนด์จนถึงปัจจุบัน ให้โลกได้รับรู้อีกครั้ง

Ferrari 812 GTS

ตำนานแห่งยนตรกรรมเปิดประทุนเครื่องยนต์ V12 ของ Ferrari เริ่มต้นในปี 1948 จากรุ่น 166 MM

ตำนานแห่งยนตรกรรมเปิดประทุนเครื่องยนต์ V12 ของ Ferrari นั้น เต็มไปด้วยรถยนต์ที่โดดเด่นหลากหลายรุ่น เริ่มต้นในปี 1948 จากรุ่น 166 MM สายพันธุ์แท้แห่งรถแข่ง GT ผู้คว้าชัยในการแข่งขันเอนดูรานซ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ในปี 1949 ทั้งสองรายการ นั่นคือ Mille Miglia และ 24 Hours of Le Mans

365 GTS4 คือคันสุดท้ายของสายเลือดที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ในปี 1969 รถรุ่นนี้เป็นที่รู้จักในนาม “Daytona Spider” สืบเนื่องจากการคว้าชัยของ Ferrari ในการแข่งขัน 24 Hours of Daytona เมื่อสองประสานจากม้าลำพอง 330 P4s และ 412 P รับธงหมากรุกเคียงข้างกัน ครองอันดับ Top 3 ได้สำเร็จ

หลังจากรุ่น 365 GTS4 ตัวถังสำหรับรองรับเครื่องยนต์ V12 วางหน้า ของ Ferrari ไม่เคยถูกนำมาใช้กับรถเปิดประทุนรุ่นโปรดักชั่น (ออกจำหน่ายแบบไม่จำกัดจำนวน) อีกเลย นั่นหมายถึง มีเพียงรถซึ่งผลิตขึ้นพิเศษในจำนวนจำกัดอีกเพียง 4 รุ่น เท่านั้น ที่เปิดตัวไปหลังจากนั้น

นั่นคือ 550 Barchetta Pininfarina ในปี 2000, Superamerica ปี 2005, SA Aperta ปี 2010 และคันล่าสุดคือ F60 America ในปี 2014 ที่สร้างขึ้นเพียง 10 คัน เพื่อฉลองวาระครบรอบ 60 ปี ในการจำหน่ายรถเฟอร์รารี่ในสหรัฐอเมริกา

Ferrari 812 GTS

Ferrari 812 GTS

เช่นเดียวกับสายพันธุ์ม้าลำพองในตำนาน 812 GTS สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านของสมรรถนะและความพิเศษเหนือระดับ ดุดันด้วยขุมพลัง 800 แรงม้า V12 อันเกรียงไกรของ Ferrari ไม่เพียงแค่การเป็นสปอร์ตคาร์เปิดประทุนที่ทรงพลังที่สุดในคลาสเท่านั้น แต่ยังเป็นรถที่ใช้งานได้เอนกประสงค์ จากความยอดเยี่ยมของหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งให้มีพื้นที่ความจุในห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมากยิ่งขึ้น

หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ (RHT – Retractable Hard Top) ใช้เวลาเพียง 14 วินาทีในการเก็บเข้าที่ และทำงานได้ขณะรถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 45 กม./ชม. ทั้งยังไม่กินพื้นที่ภายในห้องโดยสารอีกด้วย กระจกหลังควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้าจะทำหน้าที่เป็นแผ่นบังลม ช่วยคงความสุนทรีย์ในการขับขี่แม้จะเปิดหลังคาอยู่ก็ตาม หรือในกรณีที่ปิดหลังคา ก็ยังคงเปิดโอกาสให้ได้ดื่มด่ำเสียงคำรามของเครื่องยนต์ V12 อย่างชัดเจนเช่นกัน

Ferrari 812 GTS

เครื่องยนต์ (ENGINE)

812 GTS คือเวอร์ชั่นเปิดประทุนของรุ่น 812 Superfast ซึ่งมีทั้งคุณสมบัติ และเพอร์ฟอร์มานซ์ในระดับเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเครื่องยนต์ขนาด 800 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที ซึ่งนับว่าทรงพลังที่สุดเมื่อเทียบกับรถในคลาสเดียวกัน แรงบิดที่มากถึง 718 นิวตันเมตร ช่วยยืนยันได้ว่ารถจะมีอัตราเร่งอันน่าทึ่งเช่นเดียวกับ 812 Superfast ทั้งยังรับประกันความสนุกในการขับขี่ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่ทำได้สูงสุดถึง 8,900 รอบ/นาที

เช่นเดียวกับใน 812 Superfast ขีดขั้นแห่งสมรรถนะอันยอดเยี่ยมเกิดขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องยนต์และการนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ ตัวอย่างเช่น ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection ที่มีแรงดันสูงถึง 350 บาร์ และระบบควบคุมขนาดของท่อร่วมไอดีแบบแปรผัน ซึ่งพัฒนามาจากเครื่องยนต์แบบไม่มีระบบอัดอากาศของรถแข่ง F1 ระบบเหล่านี้ช่วยให้สามารถเพิ่มความจุกระบอกสูบจาก 6.2 เป็น 6.5 ลิตร เพื่อให้มีพละกำลังมากขึ้น แม้ในขณะใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำ ๆ ก็ตาม

นอกจากนั้น ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยแรงดันสูง ยังทำให้เชื้อเพลิงที่ฉีดพ่นออกมาเป็นฝอยละอองขนาดเล็กมากขึ้น จึงลดมลพิษได้เป็นอย่างดีในระหว่างที่ตัวกรองไอเสียยังไม่ถึงอุณหภูมิทำงาน ขณะที่ตัวกรองอนุภาคน้ำมันเบนซิน (GPF – Gasoline Particulate Filter) รวมถึงระบบ Stop&Start On the Move ซึ่งจะหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ขณะรถจอด และติดเครื่องโดยอัตโนมัติอีกครั้งเมื่อรถต้องเคลื่อนที่ ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยให้รถคายมลพิษต่ำตามมาตรฐานข้อกำหนด

มีการปรับปรุงการทำงานของโหมดต่าง ๆ ในระบบ Manettino อย่างพิถีถันเป็นพิเศษ เพื่อเพิ่มศักยภาพของเครื่องยนต์ และรับมือกับพละกำลังมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมา นั่นหมายความว่า ผู้ขับขี่สามารถควบคุมแรงบิดมหาศาลผ่านคันเร่งได้อย่างง่ายดายและมั่นใจ ด้วยพลังที่ส่งผ่านออกมาอย่างราบรื่นในทุกรอบเครื่อง

เส้นโค้งของกราฟแรงบิด เผยให้เห็นว่าแรงบิดไม่ได้สูญหายไปกับการเพิ่มพลังเครื่องยนต์ โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของแรงบิด มีให้ใช้งานที่รอบต่ำเพียง 3,500 รอบ/นาที ช่วยให้รถมีสมรรถนะที่ดีแม้อยูในความเร็วต่ำ

ขณะที่เส้นกราฟของแรงม้านั้น จะยกสูงขึ้นเต็มพิกัดไปจนถึง 8,500 รอบ/นาที และเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันใจตามความเร็วรอบเครื่องยนต์ ผลจากการมีแรงเสียดทานต่ำส่งให้ผู้ขับสามารถสัมผัสได้ถึงอัตราเร่งอย่างไร้ขีดจำกัด การเพิ่มพลังเครื่องยนต์โดยรวม ตลอดจนการปรับพละกำลังให้อยู่ในช่วง 6,500-8,900 รอบ/นาที ช่วยเรียกแรงม้าส่วนใหญ่ออกมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่องเมื่อขับขี่ในสนาม หากคงรอบเครื่องยนต์ไว้ในระดับค่อนข้างสูงตลอดเวลา

เกียร์แบบคลัตช์คู่ช่วยเพิ่มความสปอร์ตให้กับการขับขี่ เมื่อปรับสวิตช์ Manettino เข้าสู่โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ระยะเวลาในการเปลี่ยนเกียร์ ขึ้น-ลง จะถูกปรับให้รวดเร็วขึ้น เพื่อให้การส่งกำลังเป็นไปอย่างฉับไว มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจยิ่งขึ้นแก่ผู้ขับขี่ นอกจากนั้น ยังมีการปรับอัตราทดเกียร์ให้ชิดกว่าเดิมจนผู้ขับสามารถสัมผัสถึงการตอบสนองคันเร่งอันว่องไวได้อย่างชัดเจน

รูปแบบของระบบระบายไอเสียได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มและปรับสมดุลของเสียงเครื่องยนต์และเสียงที่ดังออกมาจากปลายท่อ โดยเป้าหมายก็คือ การสร้างสรรค์เสียงคำรามที่ดุดันสไตล์สปอร์ตแม้ในขณะขับขี่โดยปิดหลังคาก็ตามมีการปรับแต่งท่อไอเสียช่วงกลางเพื่อให้ได้มาซึ่งเสียงที่ไพเราะยิ่งขึ้น ทุกท่อของท่อร่วมไอเสียแบบ 6-1 (6 ท่อ รวมเข้ามาเป็น 1 ท่อ)

ก่อนต่อมายังตัวกรองไอเสีย มีความยาวเท่ากันทุกท่อ ช่วยให้เสียงที่ได้มีความโดดเด่นกว่าเดิม ผลลัพธ์คือเสียงคำรามหนักแน่นของขุมพลัง V12 ที่สามารถดื่มด่ำได้จากภายในห้องโดยสาร และจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีกเมื่อขับขี่โดยเปิดหลังคา

Ferrari 812 GTS

การออกแบบ (DESIGN)

ออกแบบโดย Ferrari Styling Centre ด้วยการใช้พื้นฐานจาก 812 Superfast… 812 GTS สะท้อนการออกแบบและสัดส่วนอันงดงามแห่งยนตรกรรมเครื่องยนต์ V12 วางด้านหน้าของเฟอร์รารี่ ออกมาได้โดยไม่ต้องแก้ไขมิติตัวถังหรือส่งผลกระทบใด ๆ ต่อพื้นที่และความสะดวกสบายในห้องโดยสาร

ถ่ายทอดความสมบูรณ์แบบที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวระหว่างความโฉบเฉี่ยวและความหรูหราสูงค่า ตัวถังด้านข้างของ 812 GTS แฝงความเท่ในแบบฉบับของรถท้ายลาด (Fastback) ดีไซน์แบบ 2-box และส่วนท้ายรถที่ยกสูง ชวนให้รำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของ 365 GTB4 (Daytona) ปี 1968 ได้เป็นอย่างดี

เมื่อมองจากด้านข้าง ส่วนท้ายของรถดีไซน์ให้พับเว้าเพื่อให้ท้ายรถดูสั้นลง เพิ่มเส้นสายคมคายในส่วนลาดเอียงของตัวถัง พร้อมด้วยซุ้มล้อขนาดใหญ่สะท้อนให้เห็นความกำยำและดุดัน สง่างามตามแบบฉบับของสปอร์ตคาร์ขุมพลัง V12

ด้วยความที่เป็นเวอร์ชั่นเปิดประทุนของรุ่น 812 Superfast ส่วนท้ายของรถ ไม่ว่าจะเป็นหลังคา, ฝาท้าย ไปจนถึงห้องเก็บสัมภาระ จึงได้รับการออกแบบใหม่ โดยมีเป้าหมายให้เกิดเป็นยนตรกรรมที่หลอมรวมความงดงามและดุลยภาพเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน

เสาหลังคาซึ่งภายในติดตั้งกลไกของชุดพับหลังคาเอาไว้ ได้รับการออกแบบให้แสดงถึงการขับเคลื่อนที่พุ่งไปด้านหน้า ทั้งยังส่งให้กระจกข้างของรุ่นเปิดประทุน ดูแตกต่างออกไปจากรุ่นหลังคาแข็งได้อย่างชัดเจน และเมื่อเปิดหลังคา ชิ้นส่วนของหลังคาก็จะถูกพับเก็บไว้ใต้ฝาครอบดังกล่าว

ด้วยความแตกต่างของตัวถัง จึงไม่มีช่องระบายอากาศบริเวณด้านบนหลังซุ้มล้อหลัง (ใกล้กับไฟท้าย) อันเป็นเอกลักษณ์ของ 812 Superfast แต่ก็ถูกทดแทนด้วยดิฟฟิวเซอร์ใต้กันชนหลังที่มีแผ่นบังคับลมเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น 812 GTS ใหม่ ยังมาพร้อมกับล้อฟอร์จน้ำหนักเบาที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีให้เลือก 3 สี คือ

  1. Diamond-Finish
  2. Liquid Silver
  3. Grigio Scuro

Ferrari 812 GTS

อากาศพลศาสตร์ (AERODYNAMICS)

812 GTS สร้างความท้าทายให้กับเหล่าดีไซเนอร์ของเฟอร์รารี่ถึง 2 ประการด้วยกัน คือ จะมั่นใจได้อย่างไรว่ารถจะมีเพอร์ฟอร์มานซ์เฉกเช่นเวอร์ชั่นคูเป้ในขณะขับขี่โดยปิดหลังคา และยังคงมอบสุนทรียภาพให้แก่ทุกคนในห้องโดยสารได้เช่นเดิม เมื่อเปิดหลังคา
ในด้านของประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์

ด้วยหลังคาและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องต่าง ๆ ของกลไกในการพับเก็บ จึงจำเป็นต้องแก้ไขส่วนท้ายของรถให้เหมาะสม ด้วยการเปลี่ยนรูปทรงของฝาครอบใหม่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ปีกทั้ง 3 ชิ้นที่อยู่บนดิฟฟิวเซอร์กลางกันชนหลัง ซึ่งช่วยสร้างแรงดูด (ให้เกิดเป็นดาวน์ฟอร์ซ) จากใต้ท้องรถ ช่วยทดแทนดาวน์ฟอร์ซที่สูญเสียไปจากการไม่มีช่องระบายอากาศของซุ้มล้อหลังเหมือนกับใน 812 Superfast

ในอีกด้านหนึ่ง แรงต้านถูกลดทอนลงจากการใช้ช่องระบายอากาศซึ่งอยู่ที่ส่วนท้ายของด้านข้างตัวถัง (เหนือซุ้มล้อหลัง) เพื่อระบายแรงดันที่เกิดขึ้นจากล้อหลังออกไป

ความพิถีพิถันในทุกรายละเอียดทำให้มั่นใจได้ถึงมาตรฐานความสะดวกสบายแม้ขณะขับขี่โดยเปิดหลังคา มีการใส่ใจอย่างยิ่งทั้งในเรื่องของการลดลมหมุนวนภายในห้องโดยสารและเสียงของอากาศ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้โดยสารสามารถสนทนาระหว่างกันได้โดยไม่ถูกรบกวนแม้ในความเร็วสูง

เช่นเดียวกับใน LaFerrari Aperta แผ่นขนาดเล็กทรงตัว L ซึ่งติดตั้งอยู่มุมด้านบนของกระจกหน้าทั้งสองฝั่ง ทำให้เกิดลมหมุน (Vortex) อย่างต่อเนื่องไปจนถึงบริเวณเหนือกระจกหลัง ช่วยลดแรงดันอากาศด้านหลังเบาะนั่งได้เป็นอย่างดี

พื้นที่ตรงส่วนนี้ นักอากาศพลศาสตร์สร้างสรรค์ทางผ่านของอากาศขึ้นบริเวณส่วนหน้าของเสาหลังคาทั้งสองฝั่ง และเสริมด้วยครีบปรับทิศทางอากาศ ซึ่งจะแบ่งแยกการไหลของอากาศ ให้ออกไปยังฝากระโปรงท้าย ช่วยเสริมให้การระบายแรงดันออกจากห้องโดยสารทำได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยไล่อากาศไม่ให้หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพทางแอโรไดนามิกส์และการไหลของอากาศที่ราบรื่น

Ferrari 812 GTS

พลศาสตร์ยานยนต์ (VEHICLE DYNAMICS)

จุดประสงค์ในการพัฒนา 812 GTS คือการคงไว้ซึ่งความรู้สึกอันตราตรึงใจของความเร็ว และสัมผัสถึงพลังที่ปลดปล่อยออกมาได้เช่นเดียวกับใน 812 Superfast ทั้งเรื่องของอัตราเร่ง, การตอบสนองที่ฉับไว ตลอดจนความคล่องตัวในการขับขี่ 812 GTS มีอุปกรณ์และระบบควบคุมเจเนอเรชั่นใหม่เช่นเดียวกับ 812 Superfast

และนั่นรวมถึงแฮนด์ลิ่งที่ยอดเยี่ยมด้วย ระบบบังคับเลี้ยวแบบสปอร์ตควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS – Electric Power Steering) ซึ่งมีอยู่ในรถทุกรุ่นของ Ferrari ถูกนำมาใช้เพื่อดึงเอาศักยภาพของรถในด้านเพอร์ฟอร์มานซ์ออกมาได้อย่างเต็มที่

โดยทำงานร่วมกับระบบควบคุมไดนามิกส์ด้วยอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมถึงระบบ SCC เวอร์ชั่น 5.0 สิทธิบัตรของเฟอร์รารี่ ด้วย นอกจากนั้นยังมีระบบ Virtual Short Wheelbase 2.0 (PCV) ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดยใช้พื้นฐานมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน นับตั้งแต่ที่นำมาใช้ครั้งแรกกับ F12tdf

นอกจากนั้น ยังมีระบบช่วยเหลือประสิทธิภาพสูงอีกมากมายสำหรับผู้ขับขี่ ประกอบด้วย;

  • Ferrari Peak Performance (FPP): ในขณะกำลังเข้าโค้ง แรงหน่วงจากพวงมาลัยจะช่วยให้ผู้ขับขี่ทราบว่ารถกำลังเข้าใกล้ขีดจำกัดของการยึดเกาะถนน ช่วยให้ระบบควบคุมเสถียรภาพต่างๆ เริ่มทำงาน
  • Ferrari Power Oversteer (FPO): ในกรณีที่เกิดอาการท้ายปัด (Oversteer) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อเร่งออกจากโค้ง พวงมาลัยจะหน่วงกลับไปยังทิศทางที่ถูกต้องสอดคล้องกับทิศทางของรถ
  • การปรับแต่งการหน่วงนำของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช็อคอับใหม่ ช่วยให้รถมีประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเช่นเดียวกับเวอร์ชั่นหลังคาแข็ง แม้ตัวถังจะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 75 กิโลกรัมก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ สมรรถนะโดยรวมของรถจึงใกล้เคียงกับรุ่นหลังคาแข็ง ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ต่ำกว่า 3 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 8.3 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดของ Ferrari 812 GTS ก็เทียบเท่ากับรุ่นหลังคาแข็งที่ 340 กม./ชม.

Ferrari 812 GTS

บริการดูแลรักษา 7 ปี (7 YEARS MAINTENANCE)

มาตรฐานคุณภาพที่เหนือชั้นของเฟอร์รารี่ และการมุ่งเน้นที่การให้บริการลูกค้าเป็นหัวใจหลัก เฟอร์รารี่จึงมีโปรแกรมการบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นเป็น 7 ปี ให้กับผู้เป็นเจ้าของ Ferrari 812 GTS โปรแกรมนี้ครอบคลุมการบำรุงรักษาตามปกติทั้งหมดในช่วง 7 ปีแรกของรถเฟอร์รารี่ทุกรุ่น การบำรุงรักษาตามกำหนดเวลานี้เป็นบริการพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่ารถจะมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีความปลอดภัยอยู่เสมอ บริการพิเศษนี้มีให้สำหรับผู้ที่ซื้อเฟอร์รารี่มือสองด้วยเช่นกัน

การบำรุงรักษาปกติ (ตามระยะทาง 20,000 กม. หรือปีละครั้ง) อะไหล่แท้และการตรวจสอบอย่างพิถีพิถันโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมโดยตรงที่ศูนย์ฝึกอบรมเฟอร์รารี่ในเมืองมาราเนลโล โดยใช้เครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัยที่สุด ซึ่งบริการนี้มีให้สำหรับตัวแทนจำหน่ายเฟอร์รารี่อย่างเป็นทางการทั่วโลก

นอกจากนี้ เฟอร์รารี่ยังมีโปรแกรม Genuine Maintenance ซึ่งจะขยายขอบเขตของบริการหลังการขายที่เสนอโดย เฟอร์รารี่ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ต้องการรักษาประสิทธิภาพและความเป็นเลิศ อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ทุกคันที่สร้างขึ้นจากโรงงานในมาราเนลโล ด้วยเทคโนโลยีอันก้าวล้ำ

ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค: FERRARI 812 GTS

เครื่องยนต์
ประเภท:   V12 – 65°
ปริมาตรความจุ:   6496 cc
กระบอกสูบxช่วงชัก:   94×78 mm
แรงม้าสูงสุด*:   588 kW (800 cv) at 8500 rpm
แรงบิดสูงสุด*:   718 Nm at 7000 rpm
อัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร:   123 cv/l
รอบเครื่องยนต์สูงสุด:   8900 rpm
อัตราส่วนกำลังอัด:   13.6:1

มิติและน้ำหนัก
ความยาว:   4693 mm
ความกว้าง:   1971 mm
ความสูง:   1276 mm
ความยาวฐานล้อ:   2720 mm

ความกว้างฐานล้อหน้า:   1672 mm
ความกว้างฐานล้อหลัง:  1645 mm
น้ำหนักรถเปล่า**:   1600 kg
อัตราส่วนการกระจายน้ำหนัก:   47% ant – 53% post
ความจุห้องเก็บสัมภาระ:   210 l
ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง:  92 l

ขนาดยางและล้อ
หน้า:   275/35 ZR 20” 10” J
หลัง:   315/35 ZR 20” 11.5” J

ระบบเบรก
หน้า:   398x223x38 mm
หลัง:   360x233x32 mm
ระบบส่งกำลัง:   7-speed dual-clutch gearbox
ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์:   EPS, PCV 2.0, E-Diff3, F1-Trac, ABS/EBD
prestazionale con Ferrari Pre-Fill, FrS SCM-E,
SSC 5.0

สมรรถนะ
0-100 km/h:   <3.0 sec
0-200 km/h:   8.3 sec
Max. speed:   over 340 km/h

อัตราสิ้นเปลืองและมลพิษ
อยู่ภายใต้ข้อกำหนด

* ด้วยน้ำมันเบนซินออกเทน 98 และ Dynamic RAM, กำลังเครื่องยนต์แสดงในหน่วย kW (Kilowatt) ตามข้อตกลงของ International System of Units (SI) และในหน่วย CV (Cheveaux Vapeur) 1kW = 1.3596216 cv
** รวมอุปกรณ์สั่งติดตั้งพิเศษ

Check Also

Isuzu One Make Race 2024 Final

อีซูซุจัดทัพ “อีซูซุ ดีแมคซ์ 3.0 L เหนือลิมิต…พิชิตโลก” รวม 20 คัน ร่วมประชันความเร็วในการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ “ISUZU ONE MAKE RACE 2024” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15

กลุ่มตรีเพชร โดย บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ร่วมกับ ฟาอีส ยูไนเต็ด มอเตอร์สปอร์ต ผู้จัดการแข่งขัน บริษัท ต.สยาม คอมเมอร์เชียล จำกัด ผู้จำหน่ายยางรถยนต์ …